อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสวนสาธารณะระดับชุมชน หรือที่เรียกกัน Community Park ตามแนวคิด “ป่าในเมือง” สุดเก๋ใจกลางกรุงบนพื้นที่ 28 ไร่ มีถนนล้อมรอบคือ ถนนบรรทัดทอง ซอยจุฬาลงกรณ์ 9, 20, 22 และ 26 ติดกับศูนย์การค้า I’m Park ใกล้สถานี BTS สนามกีฬาแห่งชาติ และสถานี MRT สามย่าน หากขับรถมาก็จอดฟรี 15 นาที หลังจากนั้นคิดค่าบริการเริ่มต้นชั่วโมงละ 20 บาท เว้นแต่กรณีแสดงใบเสร็จ I’m Park ได้ประทับตราจอดฟรี 1 ชั่วโมง 200 บาท 2 ชั่วโมงค่ะ
แต่ถ้าปั่นจักรยานมาละก็ มีที่ล็อกให้บริการฟรีโดยไม่ต้องมีตราประทับใด ๆ ค่ะ อย่าลืมเตรียมโซ่คล้องมาเองนะคะ ใกล้ ๆ กันมีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้บริการด้วยค่ะ สวนแห่งนี้เปิดทุกวันเวลา 5.00 - 22.00 น. สามารถนำสุนัขมาได้โดยต้องอยู่ในสายจูงและในเขตที่กำหนด คือโซนล่างส่วนที่ต่อกับด้านหลัง I’m Park ซอยจุฬาฯ 20 เท่านั้นค่ะ
โดยอุทยานขนาดเล็กอันแสนน่ารักแห่งนี้สร้างขึ้นในโอกาสการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของไทย 26 มีนาคม พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นของขวัญให้สาธารณชน เชื่อม “โครงสร้างระบบนิเวศสีเขียวของเมือง” (Urban Green Infrastructure) ในระดับชุมชนค่ะ ได้รับ รางวัล World Landscape Architecture Awards 2019 (WLA) ซึ่งมีการส่งสิ่งก่อสร้างเข้าร่วมในการแข่งขันนี้มากกว่า 175 โครงการจากทั่วโลกด้วยนะคะ
เรียกง่าย ๆ ได้ว่าเป็นการมุ่งหวังที่จะสร้างป่าเล็ก ๆ และพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและจัดกิจกรรมสร้างสรรค์สไตล์โมเดิร์น ผ่านการออกแบบระบบนิเวศ ระบบน้ำ ระบบพฤกษศาสตร์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ที่เน้นความสวยงามอย่างยั่งยืน ให้พื้นที่หน่วงน้ำของเมือง โดยประยุกต์ให้รองรับการใช้งานด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียน ออกกำลังกาย เล่น พักผ่อน หรืออื่น ๆ ด้วยค่ะ
ในภาพบนนี้เป็นชิงช้าที่ตั้งกลมกลืนไปกับบรรดาพืชชายน้ำและพืชทนน้ำในโซนพื้นที่ชุ่มน้ำประดิษฐ์ (Construct Wetland) ซึ่งจะเป็นทางลาด 2 ฝั่งตามแนวยาวของสวน ให้พืชเหล่านี้ดูดซับน้ำระหว่างทางที่ไหลลงมาก่อนจะไปสู่สระกักเก็บน้ำ (Retention Pond) ด้านหน้าในภาพล่าง เป็นการสำรองน้ำฝนในช่วงหน้าฝนนำกลับมาใช้ในช่วงหน้าแล้งได้ค่ะ
ข้าง ๆ สระมีเครื่องออกกำลังกายคล้ายจักรยานที่ประยุกต์มาจากเครื่องบำบัดน้ำ “กังหันชัยพัฒนา” ซึ่งนอกจากจะได้ออกแรงปั่นสร้างสุขภาพแล้ว ยังช่วยเติมออกซิเจนให้น้ำในสระไปด้วยในคราวเดียวกัน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยค่ะ
นอกจากนี้ยังมีสนามเด็กเล่นขนาดเล็ก ซึ่งมีลานทรายไซส์จิ๋วที่ทรายละเอียดมาก ๆ แล้วพื้นบ่อปูแบบแนวลาดให้อารมณ์เหมือนเวลาไปหาดทราย คือไม่มีไม้ขอบให้ต้องกลัวสะดุด แถมพื้นยังปูด้วยยางสังเคราะห์ EPDM ซึ่งค่อนข้างนุ่ม ยืดหยุ่น เหมาะที่จะรองรับการกระแทกในการวิ่งเล่นของเด็ก ๆ ค่ะ
ส่วนในภาพล่างนี้เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ลักษณะเหมือนฝายในโซนพื้นที่ชุ่มน้ำประดิษฐ์ (Construct Wetland) ค่ะ น้ำที่ไหลลงมาจะผ่านการกรองทั้งจากรากพืช ดิน หิน เป็นขั้น ๆ เหมือนในป่า
ต้นไม้ที่นี่เมื่อเริ่มนำมาปลูกหลายต้นจะเป็น “ไม้หนุ่มสาว” ขนาดความกว้างของลำต้นแค่ราว 4-5 นิ้ว จากเรือนเพาะชำ ที่เพียงไม่กี่ปีก็เริ่มเติบโตเขียวขจีขึ้นมา ท่ามกลางต้นจามจุรีใหญ่ไม่กี่ต้น ซึ่งแผ่ร่มเงาอยู่ห่าง ๆ ตามมุมต่าง ๆ ของสนาม ที่มองไปก็เห็นตึกระฟ้าตระหง่านอยู่สุดสายตา เหมือนนิสิตและนักเรียนที่กำลังเติบโตขึ้นโดยมีคณาจารย์และบุคลากรคอยสนับสนุน เพื่อพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยที่พัฒนาสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
ส่วนในภาพถัดมาเป็นซุ้มไม้เลื้อยตรงทางลาดในโซน Vine Room ซึ่งใช้เป็นที่พักผ่อน เป็นที่จัดกิจกรรมกลุ่มย่อย ๆ ได้ด้วยค่ะ
พืชในสวนแห่งนี้มีมากมาย โดยเฉพาะพรรณไม้พื้นบ้านที่ปลูกง่าย โตไว ได้ใช้ประโยชน์ เหมาะที่จะนำไปเป็นไอเดียแต่งสวนหลังบ้านให้นอกจากจะงดงามน่ารักแล้วยังได้กินได้ใช้อีกด้วย อย่างในภาพล่างนี้คือ เตยหอม เอาไปต้มน้ำใบเตย ทำขนม ใช้แต่งกลิ่นแต่งสีผสมอาหาร หรือจะเอามาพับเป็นดอกไม้ประดับห้องก็งดงามหอมชื่นใจ บางคนเชื่อว่าน้ำมันหอมระเหยในใบเตยที่ตัดจากต้นใหม่ ๆ ไล่แมลงสาบได้ด้วยนะคะ
ส่วนดงดอกไม้สีม่วงอ่อนนี้ คือ ต้อยติ่ง (เป๊าะแป๊ะ) ที่หลังจากผสมเกสรแล้วจะเกิดฝักเมล็ด พอแก่ได้ที่จะแห้งและเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ รอวันที่ฝนตกลงมาก็จะแตกออกดังเป๊าะแป๊ะลงสู่ผืนดินเพื่อเกิดเป็นต้นใหม่ในเวลาต่อไป ตอนเด็ก ๆ หลายคนอาจเคยเก็บฝักต้อยติ่งนี้ใส่น้ำเล่นให้มันแตกเป๊าะแป๊ะดังสนุกสนาน
ถัดมาคือ บานเช้าสีเหลือง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sage rose ไม้ดอกแสนสวยสีสันสดใสที่ออกดอกได้ตลอดทั้งปี จะบานพร้อมกันในตอนเช้า แล้วก็จะหุบลงในตอนเย็น เป็นไม้พุ่มซึ่งพอโตเต็มที่สูงได้ราว ๆ เมตรกว่าเลยทีเดียวค่ะ
นอกจากไม้พุ่มขนาดเล็กก็ยังมีไม้พุ่มขนาดใหญ่และไม้ยืนต้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตะแบก หรือไม้มีค่าอย่างไม้แดง ไม้พะยูง ที่สูงชะลูด แล้วก็มีไม้ดอกสวยที่น่าสนใจอย่าง ชงโค ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญบนธงของฮ่องกง เป็นต้นไม้ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเป็นพรรณไม้ท้องถิ่นในแถบนี้ที่มีถิ่นกำเนิดตั้งแต่จีนตอนใต้อย่างในฮ่องกงลงมาจนถึงประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนค่ะ
ส่วนในภาพล่างนี้คือ ย่าหยา ซึ่งจริง ๆ แล้วมีหลายชื่อมาก เช่น ผักอ่อม, อ่อมแซบ, บาหยา, บุษบาฮาวาย, บุษบาริมทาง, ผักกูดเน่า, ตำลึงหวาน ฯลฯ ไม่ได้มีแค่สีขาวเท่านั้นนะคะ บางต้นอาจมีสีม่วง สีชมพู หรือสีเหลืองอ่อนก็ได้ค่ะ แน่นอนว่านอกจากดอกสวยแล้วใบอ่อมแซบนี่ยังเอาไว้ใส่แกงอ่อมได้ด้วยค่ะ
ส่วนต้นนี้คือ เสลดพังพอนตัวผู้ เป็นสมุนไพรไทยตามตำรับการแพทย์แผนโบราณมาแต่ช้านาน สมัยก่อนผู้เฒ่าผู้แก่จะให้เอาใบมาตำใส่พิมเสนใส่เหล้าทาบริเวณที่โดนยุงกัดหรือมดกัดค่ะ
เดินมาทางริมน้ำใกล้ประตูฝั่งศูนย์การค้า I’m Park ก็จะเจอ แว่นแก้ว พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่น่าสนใจอีกชนิด ใบใช้กินกับน้ำพริกหรือนำมาทำแกงคั่วต่าง ๆ ได้
ส่วนภาพล่างนี้คือ ชะพลู ค่ะ ขึ้นอยู่ตามพื้นโคนต้นไม้ใหญ่ บางทีก็เลื้อยขึ้นไปบนลำต้นของไม้ใหญ่ด้วยค่ะ เห็นแล้วนึกอยากกินเมี่ยงคำขึ้นมาทันทีเลย จริง ๆ เอามาใส่แกงคั่ว แกงกะทิ ข้าวยำ ห่อหมกก็อร่อยนะคะ มีเบต้า-แคโรทีนสูง บำรุงสายตา แต่กินติดต่อกันมากไม่ได้ เพราะมีออกซาเลตสูงหากกินต่อเนื่องนานจะทำให้เกิดนิ่วได้ค่ะ
เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ จากพืชชุ่มน้ำ ชอบน้ำ ไม้ใหญ่ ไม้พุ่ม ก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปสู่พืชที่ทนแล้งมากขึ้นอย่างบรรดาหญ้าต่าง ๆ อย่าง ป่านศรนารายณ์ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของอเมริกาซึ่งค่อนข้างแห้งแล้ง และนำเข้ามาปลูกในไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ใช้ทำเชือก เครื่องจักสาน กระเป๋า หมวก ปุ๋ยหมัก ตลอดจนนำไปสกัดทำยาปฏิชีวนะได้ด้วยค่ะ
อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ มีนกมากมาย ที่เจอบ่อย ๆ เลย ก็บรรดานกเขาหลวง นกกระจอกบ้าน นกเอี้ยง นกกางเขนบ้าน อย่างในภาพค่ะ
นกเหล่านี้ส่วนมากเป็นนกกินแมลงหรือเมล็ดพืชเล็ก ๆ ซึ่งจะหากินเองตามธรรมชาติค่ะ และที่นี่ก็มีผีเสื้อและแมลงให้ได้เห็นกันเป็นระยะ ๆ ด้วย สวยมาก ๆ เลย แต่ผีเสื้อหลายตัวที่นี่บินไวมากไม่เจอที่อยู่นิ่ง ๆ ให้เก็บภาพกันง่าย ๆ เลยได้รูปเจ้าแมลงปอตัวนี้มาแทนค่ะ
เดินไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ถึงด้านบนสุดจะเป็นโซน GREEN ROOF หรือสวนหลังคา ส่วนมากจะเป็นหญ้า พืชล้มลุกที่เติบโตได้ง่าย ทนแล้งได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นหญ้าดอกเลา หญ้าดอกชมพู หญ้ารังนก ฯลฯ
พื้นที่ทางลาดจากด้านบนสวนหลังคาเหล่านี้เป็นเสมือนทางน้ำไหลที่ใช้ไม้พุ่มและไม้คลุมดินขนาดเล็กคอยซับน้ำที่เหลือ ร่วมกับการใช้พื้นคอนกรีตรูพรุน (Porous Concrete) ช่วยระบายน้ำไปด้วย
ส่วนตรงกลางมี จามจุรี ต้นใหญ่ในสนามซึ่งกรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงปลูกไว้ด้วยค่ะ ต้นจามจุรี (ก้ามปู, ฉำฉา) ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Rain Tree โตเต็มที่สูง 15 – 20 เมตรได้เลย และแผ่กิ่งก้านกว้างไกลให้ร่มเงาได้อย่างดีด้วยนะคะ เนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน นิยมใช้ในงานแกะสลัก เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยของจุฬาฯ และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดลำพูนด้วยค่ะ
ลงมาข้างล่างใต้ GREEN ROOF หรือสวนหลังคา จะเป็นอาคารอเนกประสงค์ที่ออกแบบให้มีลักษณะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับภูมิทัศน์โดยรอบเหมือนซุ้มประตู (Gateway) ที่เชื่อมสวนสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีหลังคาสีเขียวอยู่ด้านบนสะท้อนถึง “การพระราชทานที่ดินให้แก่จุฬาฯ เพื่อคืนประโยชน์สู่สังคมส่วนรวม”
ภายในอาคารมีโถงสำหรับจัดกิจกรรมในร่ม ห้องย่อยสำหรับกิจกรรมกลุ่มขนาดเล็ก และโซน นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติล้นเกล้าฯ ร.9 ค่ะ
ฝั่งตรงข้ามนิทรรศการฯ มี คาเฟ่อเมซอน ร้านกาแฟสดที่มีต้นกำเนิดในประเทศไทย โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และขยายสาขาจนมีจำนวนมากที่สุดแบรนด์หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือมากกว่า 2,600 สาขา ทั้งในและต่างประเทศค่ะ
ภายในอาคารมีห้องน้ำสะอาด สบู่ล้างมือให้บริการพร้อม
นิทรรศการเปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ มีส่วนจัดแสดงทั้งหมด 3 ห้อง โดยแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งนิทรรศการ Interactive Learning Playground ห้องพระบรมราชปรีชาญาณ และ Digital Library ห้องสืบสานพระราชกรณีย์
ซึ่งจะนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์ไฮเทคด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น VR Glasses, HTV VIVE แว่น 3 มิติเสมือนจริง เกมและกิจกรรมดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึง E-book ที่น่าสนใจมากมายให้สแกนและดาวน์โหลดได้
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นห้องฉายภาพยนตร์ 4 มิติ 4D Virtual Mapping Space สถิตในใจราษฎร์
ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอด้วยภาพและเสียงซาวน์ประกอบ พร้อมเทคนิกพิเศษ ซึ่งไม่มีข้อจำกัดทางภาษาไม่ว่าผู้ชมจะใช้ภาษาใดก็ตาม
ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของล้นเกล้าฯ ร.9 ที่ยังประโยชน์มากมายต่อประเทศและปวงชนชาวไทย โดยกำหนดฉายทุกชั่วโมง รอบแรก 10.30 น. รอบสุดท้าย 17.30 น. ค่ะ
ก่อนกลับก็แวะไปที่ศูนย์การค้า I’m Park ห้างสีเขียวที่อยู่ข้าง ๆ กัน
โถงทางเดินที่นี่จะเป็นสไตล์บริเวณเปิดโล่ง Open Air แต่ละร้านจะเรียงรายต่อเนื่องเป็นห้อง ๆ ไปอย่างเป็นตัวของตัวเองค่ะ
ร้านอาหารต่าง ๆ มีมากมายหลากหลายให้เลือก หนึ่งในร้านดังราคาย่อมเยาที่ชอบมาก ๆ เลย ก็คือ ร้านดีจังกินหมี่ by บะหมี่ปราบเซียน อยู่ชั้น 2 ค่ะ
หมูแดงเยอะมาก ๆ สไลด์บางเฉียบ เกี๊ยวก็ลูกเบ้อเริ่ม 49 บาทค่ะ มีน้ำเก๊กฮวยแก้วใหญ่ ๆ 10 บาท เฉาก๊วยน้ำเชื่อมอีก 25 บาท รวมแล้วยังไม่ถึง 100 เลย ช่วงโควิด19 ระบาด ก็สั่งมารับประทานที่บ้านได้ที่เบอร์ 080-919-6556 เวลา 10.30 – 18.00 น. ค่ะ แต่ถ้าเป็นช่วงแต่ก่อนในช่วงปกติที่ไปรับประทานในร้านได้ก็จะเปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 21.30 น. ค่ะ เว้นวันหยุดกรณีพิเศษ ติดตามได้จาก Facebook ของทางร้าน ค่ะ
นอกจากหมี่แล้วยังมีเค้กต่าง ๆ และกาแฟด้วยนะคะ เพราะที่นี่เป็นสาขาย่อยของ ร้าน UNNA CAKE ด้วยค่ะ อย่างเค้กลูกส้มนุ่ม ๆ อร่อยกำลังดีในภาพล่างนี้ 40 บาทค่ะ
มีโซนระเบียงรับลมธรรมชาติชมวิวสวนด้วย
เที่ยวกลับทางศูนย์การค้า I’m Park มีจัดรถสามล้อส่งลูกค้าไปที่สถานี BTS สนามกีฬาแห่งชาติฟรีทุก 20 นาที รอบแรก 13.00 รอบสุดท้าย 21.40 น. โดยเว้นช่วงพักหยุดให้บริการระหว่างเวลา 15.00 – 16.00 น. ค่ะ
ช่วงที่โควิด19 ระบาดหนัก แม้แต่ไกด์เองหลังออกทริปครั้งสุดท้ายคือ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา ...นานทีเดียว ก็ผันตัวเองมาทำงานแปล งานบรรณาธิการกิจหนังสืออยู่กับบ้านแทน โชคดีที่มีงานเรื่อย ๆ เลย เพิ่งจะได้ว่างมาแบ่งปันภาพสวย ๆ และประสบการณ์ดี ๆ ได้ชมได้ดูกันบนโลกออนไลน์ ก็จะถึงวันคล้ายวันเกิดจุฬาฯ พอดีเลย ขอส่งท้ายกันด้วยภาพถ่ายเมื่อวันฟ้าใสบนหลังคาสีเขียวของสวนสาธารณะแห่งความทรงจำ ของขวัญแสนน่ารักแห่งเมืองกรุงกันค่ะ