ในการที่จะสร้างบ้านในแต่ละครั้งนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย และต้องใช้เวลาในการก่อสร้างหลายวัน เพื่อให้ได้บ้านที่ถูกใจเจ้าของบ้านมากที่สุด ซึ่งหน้าที่หลักสำคัญของเจ้าของบ้านเลย คือต้องเฟ้นหาบริษัทสร้างบ้านที่ดีที่สุดเอามาให้ได้ เพราะตัวบริษัทต้องทำหน้าที่หลายอย่างแทนเจ้าของบ้านในการก่อสร้างทั้งหมด ถ้าได้บริษัทสร้างบ้านคุณภาพดีบ้านที่ได้ก็จะได้คุณภาพ แต่ถ้าได้บริษัทสร้างบ้านที่ไม่ดีไม่มีคุณภาพบ้านที่ได้คุณภาพก็จะไม่ดีเช่นกัน แล้วสงสัยกันไหมคะ ว่าบริษัทสร้างบ้านที่ดีและไม่มีนั้นดูได้จากอะไรบ้าง ถ้าอยากรู้ก็ตามมาดูกันเลยค่ะ
การเลือกบริษัทสร้างบ้านให้ได้ดีควรดูสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอันดับบแรก
1.เป็นบริษัทที่มีความชำนาญมีผลงานและคุณภาพดี
เพราะการปลูกบ้านเป็นเรื่องใหญ่เราจะผิดพลาดไม่ได้ ดังนั้นบริษัทที่เราเลือกจึงต้องมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญงานและต้องมีผลงานออกมาดี เป็นไปได้ควรมีบ้านที่สร้างเสร็จให้เราได้ดูผลงานจำนวนหลายสิบหลัง ควรสุ่มดูอย่างละเอียดสัก 3 หลัง เพื่อความแน่ใจในคุณภาพ และถ้าจะให้ดีไปกว่านี้ควรเลือกบริษัทที่มีความชำนาญรับสร้างบ้านในช่วงราคาที่เรากำหนดไว้ เพราะเขาจะได้คุ้นเคยกับการรับสร้างบ้านที่ราคานี้
2.เลือกบริษัทที่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
หากเป็นไปได้ควรเลือกบริษัทที่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และมีวิศวกรหรือสถาปนิกประจำอยู่ เพราะการก่อสร้างที่ดีจำเป็นต้องอาศัยบุคลากรมืออาชีพ เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าเขาจะไม่ทิ้งงาน ไม่หนี เพราะบริษัทมีตัวตนที่แท้จริง
3.มีราคาที่เหมาะสม
ถึงแม้ว่าการสร้างบ้านจะมีราคาให้เลือกถึง 3 ระดับ นั่นคือ สูง กลาง และต่ำ เราควรเลือกในราคากลางๆไว้ เพราะหากราคาถูกมากเกินไปก็อาจมีการนำของไม่ดีไม่มีมาตรฐานมาสร้างบ้านเราได้ หรือบางทีสูงเกินไปจนเกินเหตุแบบนี้ก็ไม่ไหว ดังนั้นเลือกที่ราคากลางดีที่สุด
4.ต้องมีการทำสัญญาสร้างบ้านที่ดี
บางบริษัทก่อสร้างทำสัญญาเอื้อเข้าตัวเองคือจ่ายสูง ๆ ในช่วงระยะแรก และเหลือจ่ายน้อยในระยะหลัง แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะอาจทำให้ทิ้งงานได้ ดังนั้นสัญญาที่ดีจึงต้องเกลี่ยให้เสมอตลอดโครงการ หรือจ่ายยอดสูงในช่วงท้าย แบบนี้เรามีแต่ได้ประโยชน์
เมื่อเลือกบริษัทสร้างบ้านได้แล้ว ก็อย่าลืมตรวจสอบสัญญาก่อสร้างก่อนเริ่มงานให้ชัดเจน ระบุถึงวันเริ่มงาน วันที่คาดว่างานจะแล้วเสร็จ ขอบเขตการทำงาน งวดงานการจ่ายเงินที่ชัดเจนว่าควรจ่ายเงินเมื่อไหร่ เมื่องานแต่ละขั้นตอนแล้วเสร็จ โดยปริมาณเงินที่จ่ายไปควรจะสัมพันธ์กับปริมาณงานแต่ละงวดงาน นอกจากนี้การระบุการจ่ายเงินตามงวดงานก็เป็นการป้องกันการโกง และความเสียหายด้านอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกด้วยค่ะ