เมือง Sinaia เป็นเมืองและรีสอร์ทบนภูเขาในมณฑล Prahova ซึ่งถ้าเดินทางมากจาก บูคาเรสต์ เมืองหลวง จะถึงก่อนเมือง Brasov โดย Sinaia ตั้งอยู่ในเขตประวัติศาสตร์ของ Muntenia เมืองนี้ตั้งชื่อตามชื่อวัด Sinaia Monastery โดย King Carol I แห่งโรมาเนียสร้างบ้านพักฤดูร้อนปราสาท (Peleş) ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้า เป็นประสาทที่อยู่บนภูเขา ซึ่งการเดินทางหากมาด้วยรถบัสโดยสาร เราก็จะต้องเดินขึ้นภูเขาไป แต่ถ้าขับรถมาก็สามารถขับขึ้นไปที่จุดจอดบริเวณใกล้กับตัวปราสาทได้เลยค่ะ
ซึ่งระหว่างทางเดินขึ้นไปบริเวณปราสาท เปเลส คาสเซิล ( Peles Castle ) ซึ่งเป็นพระราชวังใหญ่หลักของที่นี่ ก็จะมีสถานที่มากมายให้เยี่ยมชม ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันไม่ว่าจะเป็น Manastirea Sinaia ( Mănăstirea Sinaia ) ซึ่งเป็นโบสถ์เล็ก ๆ จากโบสถ์ Manastirea Sinaia เดินขึ้นเขาไปอีกนิด ก็จะถึงทางทางเข้า Peles Castle โดยจะมีพื้นที่ที่แบ่งเป็นลานจอดรถ และ โซน ขายของที่ระลึกมากมาย
Peles Castle (Castelul Peleș) หรือปราสาท เปเลช (ออกเสียงว่า "เป-เลช" ไม่ใช่ เปเลส หรือ เพ-เลส เพราะตัว ș ในภาษาโรมาเนียออกเสียงคล้ายกับตัว ช.ช้างในภาษาไทย) ถูกสร้างขึ้นโดย King Carol ที่ 1 ในปี 1873 โดยให้ตั้งอยู่กลางหุบเขาเพราะ King Carol ที่ 1 นั้นทรงชอบวิวทิวทัศของหุบเขานี้ โดยดีไซน์จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมยุค Neo-Renaissance กับยุค Gothic Revival ซึ่งเป็นแนวที่นักออกแบบส่วนใหญ่นำมาใช้ออกแบบปราสาทในยุคสมัยนั้น จึงออกมาคล้าย ๆ กับปราสาทเทพนิยายที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง
ภายในประสาทใหญ่โตและงดงามมาก มีห้องมากมายถึง 168 ห้อง แต่เปิดให้เข้าชมจริงเพียง 35 ห้องเท่านั้น ค่าเข้า 20 Ron หรือประมาน 200 บาทไทย แต่ภายในประสาทห้ามถ่ายรูปนะคะ ถ้าถ่ายรูปจะต้องเสียค่าถ่ายรูปอีก 32 Ron หรือประมาน 300 บาทไทย ซึ่งแพงกว่าค่าเข้าชมอีกค่ะ โดยการเข้าชมแต่ละรอบจะมีไกด์นำเข้าชม และมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมไว้ด้วย
ถึงแม้ไม่มีภาพมาฝาก แต่แม่แหม่มขออนุญาตบรรยายคร่าว ๆ จากความทรงจำว่า ภายในวิจิตรอลังการมาก ห้องนอนของเจ้าหญิง ก็เจ้าหญิงแบบสุด ๆ เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยายเลยค่ะ ส่วนในห้องต่าง ๆ ก็หรูหรา และตกแต่งอย่างสวยงาม ระหว่างทางไปห้องต่าง ๆ จะมีรูปปั้นของคนสำคัญมากมาย และมีรูปปั้นของเจ้าชายคาลอส ผู้สร้างปราสาทตั้งอยู่ด้วย ปราสาทแห่งนี้ถือเป็นสิ่งสะท้อนถึงความมั่งคั่งของกษัตริย์ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี ออกจากตัวปราสาทเราก็จะพบกับบริเวณสวนที่สวยงามไม่แพ้กัน ทั้งต้นไม้และรูปปั้น ลานน้ำพุ ทุกอย่างดูสวยงามลงตัวมาก ต้องขอบอกว่าเป็นสถานที่ที่ต้องแวะมาเยือนจริง ๆ ถ้ามาเที่ยวโรมาเนีย
เช้าวันต่อมาก็ไปกันที่เหมืองเกลือเก่า Salina Turda ณ เมือง Turda ซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากเมืองหลวงพอสมควร และเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขา โดยการเดินทางมาที่นี่เราเลือกที่จะขับรถมาเอง เพราะระยะทางค่อนข้างไกลและเดินทางลำบาก เนื่องจากระบบคมนาคมของโรมาเนียนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
Salina Turda เป็นเหมืองเกลือที่อยู่กลางหุบเขา ที่ถูกเจาะลึกเข้าไปใต้ดินลึกมาก ๆ โดยทางลงจะทำเป็นบันไดให้เราค่อย ๆ เดินลงไปในแต่ละชั้น ซึ่งบันไดค่อนข้างชันมากค่ะ ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุเป็นอย่างยิ่ง โดยในแต่ละชั้นก็จะมีนิทรรศการ และเครื่องมือการทำอุตสาหกรรมเกลือในสมัยก่อนตั้งโชว์อยู่ด้วย
เมื่อเดินลงไปถึงบริเวณชั้นล่างสุด เราจะเห็นเป็นลานกิจกรรมที่เมื่อมองเรามองจากด้านบนจะคล้าย ๆ กับห้องทดลองวิทยาศาสตร์หรือฉากในหนังไซไฟท์ที่เราดูเลยค่ะ มีจุดขายของที่ระลึก มีสนามเด็กเล่นเล็ก ๆ มีชิงช้าสวรรค์ สนามบาสเก็ตบอล สนามมินิกอล์ฟ และมีแอ่งน้ำให้พายเรือ ซึ่งเราสามารถเช่าเรือพายได้ แต่แม่แหม่มขอผ่านนะคะเพราะว่ายน้ำไม่เป็น และถ้าตกน้ำไปคงหนาวมาก เพราะบริเวณภายในเหมืองเมื่อเรายิ่งเดินลงไป อุณหภูมิจะยิ่งต่ำลงเรื่อย ๆ เมื่อถึงชั้นล่างสุด ขอบอกเลยค่ะว่าหนาวยะเยือกมาก
บริเวณแอ่งน้ำนอกจากกิจกรรมพายเรือแล้ว ก็ยังมีนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นจำนวนไม่น้อย ที่มายืนอธิษฐานแล้วโยนเหรียญข้ามไหล่ลงไปในน้ำ โดยเขาบอกว่าถ้าได้ยินเสียงเหรียญกระทบน้ำ คำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริง เรื่องแบบนี้ต้องลองค่ะ แม่แหม่มเลยลองหยิบเหรียญที่ใหญ่ที่สุดโยนลงไป (ในใจคิดว่าเหรียญยิ่งใหญ่ ยิ่งดี จะได้มีเสียงดัง ๆ) ปรากฏว่าได้ยินเสียงค่ะ คำอธิษฐานต้องเป็นจริงแน่ ๆ เย้.. แต่มารู้ที่หลังว่าเหรียญที่โยนลงน้ำไป เป็นเหรียญ 2 euros ซึ่งตีเป็นเงินไทยประมานหนึ่งร้อยบาท โธ่.....ไม่น่าเลย