สาว ๆ คนไหนกำลังมีปัญหาหนักอกหนักใจกับ “พุง” มาทางนี้เลยค่ะ

วันนี้นิวมีสูตร “ลดพุง” ฉบับเร่งด่วนใน 14 วันมาฝาก !!

นิวเชื่อเหลือเกินนะคะว่าไม่ว่าใครก็ไม่อยากมี “พุง” เพราะเจ้าพุงน้อย ๆ นี้ถือเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ขัดขวางความมั่นใจของเราเหลือเกิน บางครั้งอยากใส่เสื้อผ้าสวย ๆ แต่ก็ต้องหยุดความคิดเหล่านั้นเมื่อก้มไปเห็นพุงที่ยื่นออกมา ที่สำคัญ เจ้าพุงตัวปัญหานี้ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมบอกลาเราไปง่าย ๆ ซึ่งนิวเองก็เพิ่งผ่านปัญหาเหล่านี้มาเช่นกัน วันนี้นิวจึงอยากจะมาแชร์สูตร “ลดพุง” ฉบับเร่งด่วนใน 14 วัน แต่ขอบอกก่อนนะคะว่าวิธีที่นิวนำมาฝากกันในวันนี้เป็นวิธีที่นิวนำข้อมูลจากคนอื่น ๆ มาดัดแปลงให้เข้ากับชีวิตประจำวันของนิวเองค่ะ จะมีอะไรกันบ้าง ไปดูกันเลยดีกว่า !!!

(ภาพในบทความเป็นเพียงภาพที่หามาประกอบเท่านั้น ไม่ใช่รูปของนิวนะคะ เนื่องจากตอนทดลองทำคิดแค่ว่าทำเล่น ๆ ไม่ได้คาดหวังกับผลลัพธ์มาก จึงไม่ได้เก็บภาพอะไรไว้เลยค่ะ)

1. ควบคุมอาหาร

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าต้นเหตุของ “พุง” นั้นมาจากอาหารที่เรากินเข้าไปทั้งนั้น (แต่ในหลาย ๆ ครั้งเราก็เลือกที่จะตามใจปากอยู่เสมอ) บอกก่อนนะคะว่าโดยปกตินิวเป็นคนที่ติดน้ำอัดลมและน้ำหวานมาก ๆ โดยจะกินวันละ 1-2 แก้ว/วัน แถมยังชอบกินขนมขบเคี้ยวและของทอดอีกด้วย แต่หลังจากที่กางเกงเริ่มฟิตและพุงออกชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ นิวก็เริ่มควบคุมอาหารด้วยการงดขนมขบเคี้ยว หลีกเลี่ยงการกินของทอด และอนุญาตให้ตัวเองสามารถกินน้ำหวานหรือน้่ำอัดลมได้อาทิตย์ละ 2 วัน วันละ 1 แก้วเท่านั้น รวมถึงเลือกกินผักและผลไม้มากขึ้น ลดการรับประทานแป้ง งดการปรุงอาหารอย่างการเติมน้ำปลาหรือน้ำตาลต่าง ๆ (แนะนำว่าให้ค่อย ๆ “ลด” ไม่ใช่ “งด” ทุกอย่างนะคะ เพราะจะเป็นการทำร้ายจิตใจตัวเองเกินไป และจะทำให้เราอดทนทำได้แค่ไม่กี่วัน)

2. หนักเช้า เบาเที่ยง เลี่ยงเย็น

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินประโยคดังกล่าว ซึ่งนิวขอบอกเลยว่าวิธีนี้ไม่ได้ทำยากอย่างที่คิดไว้นะคะ โดยมื้อหนักของนิวจะอยู่ที่มื้อเช้า เพราะส่วนตัวมีความเชื่อว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ ห้ามอดเด็ดขาด ไม่งั้นล่ะก็ช่วงกลางวันคุณจะมีอาการหิวโหยและกินเยอะกว่าปกติเสียอีก ส่วนมื้อเที่ยงนิวจะลดปริมาณของข้าวที่กินจากเดิม 1 จานเป็นครึ่งจาน และเน้นกับข้าวที่เป็นผัก กับข้าวประเภทต้ม หรือบางวันถ้าไม่อยากอาหารก็จะเลือกกินเป็นผลไม้แทนไปเลย ส่วนของมื้อเย็นนั้นงดไปเลยค่ะ หากว่ารู้สึกหิวมาก ๆ นิวจะเลือกกินเป็นผลไม้หรือนมน้ำตาลน้อย ไขมัน 0% หรือนมที่ระบุพลังงานแคลอรี่ไว้ไม่เกิน 90 ค่ะ (ช่วงแรก ๆ อาจจะหิวบ้าง แต่ผ่านไป 2-3 วันก็เริ่มชินแล้วค่ะ)

3. เล่นโยคะ

เนื่องจากว่านิวเป็นอีกคนหนึ่งที่ทำงานและไม่มีเวลาไปออกกำลังนอกบ้าน นิวจึงเลือกการออกกำลังในบ้านแทน ซึ่งแรก ๆ ก็ลองแบบคาร์ดิโอดู แต่บอกเลยว่าเหนื่อยและหนักเกินไปสำหรับคนไม่เคยออกกำบังกายแบบนิว นิวจึงเลือกเปลี่ยนมาเป็นการเล่นโยคะด้วยท่าต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยบริหารกล้าเนื้อหน้าท้องแทน (สามารถหาท่าที่ถูกใจได้จากกูเกิ้ลเลยค่ะ) โดยนิวจะเล่นโยคะ 45-60 นาที/วัน (บอกเลยว่าแค่โยคะก็เหงื่อออกเป็นลิตร ๆ แล้วนะคะ) นอกจากโยคะแล้ว ระหว่างวันที่นั่งทำงาน นิวจะแขม่วท้องเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องไปด้วย บอกเลยว่าวิธีนี้ก็ได้ผลดีไม่แพ้กันค่ะ

4. เน้นผักผลไม้เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย

อย่างที่ทราบกันดีว่าการขับถ่ายนั้นช่วยทำให้หน้าท้องของเราหายไป แถมยังมีส่วนช่วยขับของเสีย และมีผลต่อน้ำหนักตัวของเราอีกด้วย โดยนิวจะเน้นกินผักและผลไม้ให้มากขึ้น และเลือกผลไม้ที่วิตามินซีสูงเพื่อบำรุงผิวพรรณไปด้วยในตัว แต่ที่สำคัญ ควรลดการจิ้มกะปิน้ำปลาต่าง ๆ ด้วยนะคะ

5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำ นอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลดีต่อผิวพรรณและระบบขับถ่ายของเราอีกด้วย หากร่างกายขาดน้ำ ร่างกายจะทำการดึงเอาน้ำจากอุจจาระของเรามาใช้ ทำให้อุจจาระเกิดการแข็งตัวและนำมาสู่อาการท้องผูกนั่นเอง การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเอามาก ๆ เพราะนอกจากระบบขับถ่ายของเราจะดีแล้ว การดื่มน้ำเปล่ายังมีส่วนช่วยขับของเสียและลดการสะสมของไขมันได้อีกด้วย ซึ่งวันนี้นิวก็มีสูตรคำนวณปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อการดื่มของแต่ละคนมากฝากกันด้วยนะคะ วิธีง่าย ๆ เลยก็คือ ให้นำน้ำหนักตัวของเรามาคูณ 33 เช่น น้ำหนักคือ 45 กิโลกรัม วิธีคิดคือ 45 x 33 = 1,485 cc แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปริมาณของน้ำที่ควรดื่มก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละคนด้วย เช่น หากคุณเป็นคนที่ออกกำลังกาย ก็สามารถดื่มน้ำได้มากกว่าปริมาณที่คำนวณออกมา 

*ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่าวิธีที่นิวนำมาแบ่งปันกันในวันนี้เป็นวิธีที่นิวนำมาดัดแปลงเองให้เข้ากับการดำเนินชีวิต อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่คิดว่าเป็นวิธีที่เหมาะกับนิวที่สุดและได้ผล โดยก่อนทำทั้ง 5 วิธีนี้ นิวเอว 26.5 น้ำหนัก 48 หลังจากทำครบ 14 วัน เอวกลับมาอยู่ที่ 25 และน้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 45 กิโลกรัมค่ะ 

*ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน สิ่งที่สำคัญที่สุดขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรารับประทานเข้าไป หวังว่าบทความนี้จะพอเป็นประโยชน์กับทุกคนได้บ้างนะคะ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะคะ