Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีหรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (Red tide)

Posted By Amki Green | 14 ม.ค. 62
60,923 Views

  Favorite

ในบางครั้งเราจะเห็นน้ำทะเลเปลี่ยนสีไป เช่น สีแดง หรือสีเขียว ปรากฏการณ์นั้นเรียกว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีหรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (Red tide) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและประเทศไทยก็ประสบพบเจอเช่นกัน ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

 

ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีหรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (Red tide) คืออะไร

ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬหรือแพลงก์ตอนบลูม เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล สีแดง หรือสีเขียว เป็นต้น เนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาลของสาหร่ายเซลล์เดียวในทะเล ซึ่งทำให้เห็นน้ำทะเลเป็นสีที่ต่างออกไปจากเดิม และปรากฏการณ์นี้อาจเป็นอันตรายต่อปลาและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในทะเล จากการที่สาหร่ายเซลล์เดียวบางชนิดปล่อยสารพิษออกมา

ภาพ : Shutterstock

 

สาหร่ายเซลล์เดียวที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นี้โดยมากเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวกลุ่มไดโนแฟลกเจลเลต (Dinoflagellate) ซึ่งเป็นแพลงก์ตอนพืชชนิดหนึ่งที่ถือเป็นสัตว์เซลล์เดียว เมื่อพวกมันรวมตัวกันเทำให้เกิดสีบนแหล่งน้ำ ซึ่งการที่น้ำจะเปลี่ยนสีได้ก็ต้องมาจากการรวมตัวกันของสาหร่ายอย่างหนาแน่นมากพอ

 

สาเหตุของปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ

การเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ จากสาหร่ายเซลล์เดียวจำนวนมหาศาลนั้น มีปัจจัยมาจากแหล่งน้ำบริเวณนั้นมีสารอาหารที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัสและไนโตรเจนในปริมาณที่เหมาะสมเพียงพอ นอกจากนี้ยังอาศัยปัจจัยในเรื่องอุณหภูมิผิวน้ำที่มีความอบอุ่น ความเค็มของน้ำทะเลที่ลดลงด้วย สิ่งเเหล่านี้ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้ำ จำพวกพืชน้ำ เช่น สาหร่ายเซลล์เดียว (Dinoflagellate) และเมื่อสาหร่ายเหล่านี้ได้รับสารอาหารก็จะเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำเปลี่ยนสีไปตามสีของสาหร่าย
 

ภาพ : Shutterstock

 

การกระทำของมนุษย์ก็มีส่วนกระตุ้นการเจริญเติบโตของพวกสาหร่ายเซลล์เดียวได้ อย่างการปล่อยน้ำเสียจากการทำเกษตรกรรมหรือน้ำจากการซักล้างด้วยผงซักฟอกลงในแหล่งน้ำต่าง ๆ เพราะน้ำเสียเหล่านี้อุดมไปด้วยฟอสฟอรัสกับไนโตรเจนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าายเซลล์เดียว จึงทำให้พวกมันเจริญและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

 

ผลกระทบจากการเกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ

ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่าปรากฏการณ์นี้อาจเป็นอันตรายต่อปลาและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในทะเล จากการที่สาหร่ายเซลล์เดียวบางชนิดปล่อยสารพิษออกมา แต่นอกจากนั้น  สาหร่ายที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีจำนวนหนาแน่น จะกั้นไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องลงไปยังแหล่งน้ำได้ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำตาย เนื่องจากไม่สามารถรับแสงอาทิตย์เพื่อสังเคราะห์แสงและสร้างอาหาร ทำให้สัตว์อื่นที่กินพืชตายตามไปด้วยเนื่องจากไม่มีแหล่งอาหาร  

 

อีกทั้งเมื่อสาหร่ายตายลง น้ำทะเลก็จะพัดพาสาหร่ายเหล่านี้เข้าสู่ชายฝั่งทะเล ซากสาหร่ายจะเกิดการเน่าเสีย ส่งผลให้น้ำทะเลมีลักษณะสีเขียว เหนียว มีกลิ่นคาว ขณะเดียวกัน สาหร่ายที่ตายลงนี้ต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย ทำให้เกิดภาวะออกซิเจนในน้ำลดลง และค่าแอมโนเนียในน้ำสูง ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำซึ่งต้องอาศัยออกซิเจนในการดำรงชีวิตอีกด้วย จึงทำให้ปลาและสัตว์บริเวณตามชายฝั่งทะเลตายเป็นจำนวนมาก

ภาพ : Shutterstock

 

นอกจากจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง สิ่งมีชีวิต สัตว์ทะเลหลายชนิดตายเป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลต่อมลพิษทางอากาศเช่นกัน เนื่องจากกลิ่นของสาหร่ายที่ตายแล้วมีกลิ่นคาว ส่งผลต่อระบบหายใจและสภาพจิตใจของประชาชนในบริเวณนั้น การทำประมงชายฝั่งหรือการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็เสียหายจำนวนมากเนื่องจากน้ำบริเวณนั้นไม่สามารถใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์ได้ ไม่เพียงแต่ผลกระทบต่อสัตว์น้ำเท่านั้น การท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งยังลดลง ร้านอาหารก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเนื่องจากคุณภาพของอาหารทะเลที่อยู่ในน้ำ

 

ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบเสียหายต่อทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและทางด้านธุรกิจ ทางที่เราสามารถช่วยลดการเกิดปรากฏการณ์นี้ได้มากที่สุดก็คือ การลดกิจกรรมบางอย่างของมนุษย์ เช่น ลดการปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำ หรือลดการใช้ผงซักฟอกที่มีสารฟอสเฟต เพื่อตัดปัจจัยที่ช่วยเร่งการเติบโตของสาหร่ายในน้ำ

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Amki Green
  • 14 Followers
  • Follow