เพราะฟรุกโตสในน้ำตาล จะกระตุ้นให้ตับสะสมไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ มากขึ้น และการเกิดไขมันสะสมมากขึ้นในร่างกายนี้เอง สาว ๆ จึงหนีไม่พ้นโรคอ้วน เบาหวาน และอาจเป็นโรคหัวใจได้ เพราะไขมันที่มีมากเกินไป จะไปอุดตันเส้นเลือด ทำให้ร่างกายสูบฉีดเลือดได้น้อย และหัวใจทำงานหนักมากขึ้น
สาว ๆ บางคนรูปร่างผอม แต่ถึงเวลาตรวจร่างกายทีไร ทั้งคอลเลสเตอรอลและไขมันไตรกลีเซอไรด์มาเต็ม นั่นก็เป็นเพราะสาว ๆ กินแต่ของหวานนั่นเอง บางคนอาจเถียงว่าไม่ชอบกินขนมหวาน แต่การปรุงรสอาหารคาวด้วยการใส่น้ำตาลมาก ๆ ชงกาแฟในน้ำเชื่อมเยอะ ๆ ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป
สาว ๆ อาจจะไม่รู้ตัวว่าเมื่อคุณกินของหวานมากเกินไป จะทำให้คุณมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย นั่นเป็นเพราะกลูโคสจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว จนปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงตามไปด้วย จนตับต้องทำงานหนักเพราะต้องหลั่งอินซูลินออกมาลดน้ำตาลในเลือด เมื่อตับทำงานหนักเกินไปจนระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ร่างกายจะหลั่งอะดรีนาลินออกมา ทำให้โมโหง่าย นอกจากนี้ยังมีวิจัยเชื่อมโยงว่า การกินอาหารฟาสต์ฟู้ดมาก ๆ มีความเสี่ยงจะเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเกิดภาวะดื้ออินซูลิน และสมองยังหลั่งสารโดปามีนซึ่งเป็นสารความสุขน้อยลงอีกด้วย
• องค์การอนามัยโลกระบุเอาไว้ว่า ร่างกายของคนเรามีความต้องการน้ำตาลต่อวันประมาณ 6 ช้อนชา (ประมาณ 23-25 กรัม) หรือ สูงสุดไม่เกิน 10 ช้อนชา แต่คนไทยติดหวาน รับประทานน้ำตาลมากกว่าที่กำหนดถึง 2-3 เท่า
• การดื่มสมูธตี้ หากใส่น้ำตาล น้ำเชื่อมมากเกินไป ก็ไม่ดีต่อร่างกาย จึงควรรับประทานผลไม้สด เพื่อจะได้รับไฟเบอร์ด้วย แต่ควรงดผลไม้ที่หวานมาก ๆ เช่น เงาะ ลำไย ทุเรียน
• น้ำตาลจะทำลายคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็ว
• แค่งดน้ำหวาน ชาไข่มุกลงสักเดือน คุณจะเห็นความแตกต่างของรูปร่าง
• การไม่ออกกำลังกาย และกินแต่ของหวาน นอกจากจะอ้วนแล้ว ยังเกิดเซลลูไลท์ ทำให้ผิวเป็นเปลือกส้ม
• การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป จะทำให้ร่างกายรู้สึกหิวมากขึ้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มน้อยลง
ภาพปก : Photo by Thomas Kelley on Unsplash