Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

10 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 'โรคไข้เลือดออกและยุงลาย'

Posted By Glimmergirl | 25 มิ.ย. 61
6,455 Views

  Favorite

เข้าหน้าฝนอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หากไม่ดูแลตัวเองดี ๆ ก็อาจป่วยได้ และสิ่งที่มาพร้อมฝนนั่นก็คือ "ยุง" ยุงกัดนอกจากทรมานจากการคันแล้ว ยังเป็นพาหะนำโรคร้ายหลายโรค และโรคที่น่ากลัวอีกโรคหนึ่งในช่วงหน้าฝนและมียุงลายเป็นพาหะก็หนีไม่พ้น "โรคไข้เลือดออก" เพราะความรุนแรงของโรค สามารถคร่าชีวิตได้เลยทีเดียวหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

เเต่ยังมีหลายคนที่อาจเข้าใจอาการของโรคไข้เลือดออกผิด ทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรือรักษาได้ไม่ทันท่วงที ทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ รวมไปถึงความเข้าใจเกี่ยวกับยุงลายและการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย หลายคนยังเข้าใจผิดและสับสนทำให้การป้องกันโรคไม่ได้ผล เรามาดูวิธีป้องกันและการกำจัดยุงลายที่ถูกต้องกัน เพราะยุงลาย 1 ตัวออกลูกได้มากถึง 500 ตัว ! อย่างนี้ไม่กลัวได้อย่างไร

 

 

1. กลัวทำไมยุงลาย วงจรชีวิตสั้นแค่ 2-3 สัปดาห์เท่านั้นเอง ?

ความเชื่อนี้ถูกครึ่งหนึ่งค่ะ ความจริงวงจรชีวิตของยุงลายก็อยู่ได้แค่ 2-3 สัปดาห์จริง แต่หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ยุงลายจะมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์เลยทีเดียว ระหว่างนี้เมื่อยุงตัวเมียโตเต็มวัย กัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ ไวรัสที่ทำให้เป็นโรคไข้เลือดออก จะไปสะสมที่ต่อมน้ำลายและสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ถัดมา

ภาพ : www.pro-team2010.com

 

2. อยู่คอนโดฯ สูง ยุงบินขึ้นมาไม่ถึงหรอก ?

ความเป็นจริง อยู่สูงแค่ไหนยุงก็ไปถึง เพราะเกาะไปกับตัวคน และพร้อมขยายพันธ์ุทันทีเช่นกัน

ภาพ : Pixabay

 

3. ยุงลายวางไข่เฉพาะในน้ำสกปรกและน้ำในท่อระบายน้ำ หรือที่ ๆ มีน้ำขังมาก ?

ความเป็นจริงยุงลายชอบเพาะพันธ์ุในน้ำใสสะอาดและนิ่ง เช่น อางบัว น้ำในจานรองกระถางต้นไม้ และสามารถวางไข่ได้ในที่ที่มีน้ำขังเล็กเพียงน้อยอย่างน้ำขังในโพรงใบไม้ หรือกระป๋องเปล่า และแม้กระทั่งน้ำที่หลังตู้เย็น

ภาพ : Pixabay

 

4. งั้นก็แค่เทภาชนะน้ำขังที่มีไข่ยุงทิ้งก็จบแล้วสิ ?

ไม่จบค่ะ เพราะไข่ยุงลายแห้งนั้นถึกกว่าที่เราคิด อยู่ได้ในสภาพแห้งนานถึง 1 ปีและพอได้รับน้ำอีกครั้งก็พร้อมฟักเป็นลูกน้ำ แพร่พันธุ์ต่อได้ทันที ! ดังนั้นหลังจากเทน้ำขังในภาชนะเปล่ารอบบ้านแล้ว ต้องขัดให้สะอาดเพื่อกำจัดไข่ยุงลาย และหาฝาปิดให้มิดชิด

ภาพ : Pixabay

 

5. โรคไข้เลือดออกเป็นมากในเด็กและผู้สูงอายุ ?

ความจริงแล้ว อัตราการพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในวัยรุ่นและวัยทำงานมีมากที่สุด และพบจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากในกรุงเทพฯ มากกว่าต่างจังหวัด

ภาพ : Pixabay

 

6. โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เป็นแล้วจะไม่กลับมาเป็นอีก ?

เมื่อป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกสายพันธุ์ใดแล้วรักษาจนหาย ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันไวรัสสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต ไม่กลับมาเป็นซ้ำหากได้รับเชื้อไวรัสตัวเดิม ความเป็นจริงโรคไข้เลือดออกเกิดจากไวรัสเดงกี่ ที่มีถึง 4 สายพันธุ์ ผลัดเปลี่ยนกันระบาดในแต่ละปี จึงทำให้มีโอกาสป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง ! เมื่อป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกเป็นครั้งที่ 2 มักมีอาการรุนแรงกว่าครั้งแรกเพราะร่างกายเข้าใจผิด คิดว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์เดียวกับที่เคยเป็น ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันช้ากว่าครั้งแรก

ภาพ : Pixabay

 

7. เมื่อป่วยเป็นไข้เลือดออก ต้องมีเลือดออกทุกคน ?

อาการหลัก ๆ ของผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกเบื้องต้นจะมีอาการคล้ายไข้หวัด คือมีไข้สูง ปวดหัวรุนแรง ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ แต่หลายคนคิดว่าผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกทุกคนต้องมีอาการเป็นผื่นแดง มีจ้ำจุดแดง หรือเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดกำเดาไหลทุกคน แต่ในผู้ป่วยบางรายไม่พบรอยผื่นแดง หรือเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ในวันแรก เพราะการแสดงอาการของโรคไข้เลือดออกจะแสดงจากเบาไปหาหนัก ดังนั้นเมื่อมีไข้สูงเฉียบพลัน 2-3 วันแล้วไข้ไม่ลด มีอาการปวดหัว ปวดกระบอกตา ปวดตัวร่วมด้วย สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก ให้รีบไปพบแพทย์ด่วน

ภาพ : Medthai.com

 

8. ปวดหัว ปวดตัว เพราะเป็นไข้เลือดออก กินยาแก้ปวดอะไรก็ได้ ?

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษา หมอจึงต้องให้ยาแก้ปวด ลดไข้รักษาตามอาการ และยาที่ห้ามใช้กับผู้ป่วยไข้เลือดออกเด็ดขาดก็คือ ยาแก้ปวดในกลุ่มแอสไพรินและไอบูโพรเฟน เพราะโรคไข้เลือดออกทำให้ผู้ป่วยมีภาวะเกล็ดเลือด และภาวะแข็งตัวของเลือดบกพร่อง ทำให้เลือดออกง่าย ยาแก้ปวดสองชนิดนี้จะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงกับภาวะเลือดออกมากขึ้นจนถึงภาวะช็อกได้เลยทีเดียว และยังก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารของผู้ป่วยไข้เลือดออก กรมอนามัยฯ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยไข้เลือดออกกินยาพาราเซตามอลที่มีขายทั่วไป ควบคู่ไปการจิบเกลือแร่แบบชง เพื่อรักษาระดับของของเหลวในร่างกาย แต่การกินยาพาราเซตามอลก็ต้องกินในพอดี เพราะกินมากเกินไปอาจส่งผลให้ตับเกิดภาวะเป็นพิษได้

ภาพ : Pixabay

 

9. ตอนนี้มีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกแล้วรีบไปฉีดกันเร็ว

วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกมีประสิทธิภาพป้องกันโรคถึง 82% ในผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อน แต่กลับให้ประสิทธิภาพในการป้องกันในผู้ที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกเลยเพียง 52% เท่านั้น และหลังจากการติดตามผลการฉีดวัคซีนในกลุ่มอาสาสมัครกลับพบว่า หลังรับวัคซีน ผู้ที่อยู่ในกลุ่มไม่เคยป่วยมาก่อน เสี่ยงต่อการนอนโรงพยาบาลเพราะโรคไข้เลือดออกถึง 1.4 เท่า และเสี่ยงต่อการมีอาการของโรครุนแรงขึ้นถึง 2.4 เท่า ! ดังนั้นองค์การอนามัยโลกและสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กและผู้ใหญ่แห่งประเทศไทย จึงออกมาแนะนำว่า ผู้ที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อน ไม่ควรรับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก

ภาพ : www.chianmainews.co.th

 

10. โรคไข้เลือดออกมีโอกาสเป็นเฉพาะช่วงฤดูฝน

ความจริงแล้วเราทุกคนสามารถป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกได้ทุกฤดู ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว ตราบเท่าที่ยุงลายตัวเมียยังคงหากินและแพร่พันธุ์ ฤดูไหนเมื่อถูกยุงกัดก็มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกได้เท่า ๆ กัน อย่าชะล่าใจนะจ๊ะ

ภาพ : Pixabay

 

คำโบราณที่ว่า ยุงร้ายกว่าเสือ ดูจะไม่ใช่คำที่ผิดเสียแล้ว ทางที่ดีต้องป้องกันและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ และพยายามอย่าให้ถูกยุงกัด เมื่อมีอาการเป็นไข้ ปวดหัว ไม่ว่าจะคล้ายโรคอะไรก็แล้วแต่ พักผ่อน 1-2 วันแล้วยังไม่หาย ก็ควรต้องรีบไปโรงพยาบาล ตรวดเลือดได้ยิ่งดี เพื่อความมั่นใจ อย่ารอจนอาการวิกฤตแล้วค่อยไปหาหมอ ถึงตอนนั้นหมอเทวดาก็อาจรักษาชีวิตเราไม่ทันนะจ๊ะ

 

แหล่งข้อมูล
https://www.posttoday.com
http://marketeer.co.th
เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Glimmergirl
  • 5 Followers
  • Follow