คุณยายเดีร์ยเรน ลาร์กิ้น อาศัยที่เมืองโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เริ่มต้นวิ่งครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2009 ตอนอายุ 78 ปี หลังจากหมอวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอาการป่วยแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น การรักษาด้วยยากลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่ลง คุณยายจึงเริ่มออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรักษาโดยใช้ยาของคุณหมอ ทั้งโยคะ พิราทีส และเข้าคลาสฟิตเนส จนวันหนึ่งเธอเห็นลูกชายคนเล็กวิ่ง คุณยายจึงตัดสินใจว่า "ลองวิ่งดูบ้างก็น่าจะดี" เช้ารุ่งขึ้นคุณยายจึงหยิบรองเท้าผ้าใบแล้วออกวิ่ง เริ่มต้นที่ วิ่ง 3 สเต็ป เดิน 3 สเต็ปสลับกัน เพราะเป็นระดับที่ร่างกายคุณยายขณะนั้นพอจะรับไหว หลังจากฝึกซ้อมวิ่งกว่า 1 เดือนคุณยายก็พร้อมสำหรับลงแข่งวิ่งรายการแรก
รายการแรกที่คุณยายเดีร์นเรนลงวิ่งคือ Randburg Harriers Valentine's 10 Km. รายการวิ่งระยะ 10 กิโลเมตร เข้าเส้นชัยด้วยเวลา 1.25 ชั่วโมงเท่านั้น ในปีเดียวกันเธอได้เข้าร่วมแข่งขันวิ่งถึง 36 รายการ ในปีถัดมาคุณยายก็เริ่มออกล่าเหรียญรางวัล เข้าร่วมรายการวิ่งอีกถึง 58 รายการ ปี 2012 เป็นแชมป์รายการใหญ่ในรุ่นอายุ 70 ปีขึ้นไป ปี 2013 ลงแข่งรายการ the SA 10 Km. Championship เมืองเดอร์บัน เข้าเส้นชัยด้วยเวลา 54.17 นาที ทำลายสถิติของประเทศแอฟริกาใต้ประเภทหญิงอายุ 70 ปีขึ้นไป และทำลายสถิติโลกประเภทหญิงอายุไม่เกิน 80 ปี และเป็นแชมป์อีกหลายรายการ
ปี 2015 ด้วยวัย 84 ปีคุณยายยังคงรักษาตำแหน่งเจ้าของสถิติโลกประเภทหญิงระยะ 10 ก.ม. รุ่น 80 ปีขึ้นไปที่เวลา 1.01.31 นาที ซึ่งคุณยายเป็นเจ้าของสถิติในช่วงอายุ 81 82 และ 83 ปีด้วย ปัจจุบันคุณยายยังคงเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 60 รายการต่อปี ส่วนมากเป็นระยะ 10 ก.ม. และลงวิ่งฮาล์ฟมาราธอนอย่างน้อยเดือนละครั้ง ตอนนี้คุณยายเป็นเจ้าของสถิติกว่า 80 รายการในรายการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน the Old Mutual Soweto หลังจากพักฟื้นร่างกายเพียง 2 สัปดาห์คุณยายก็ลงแข่งรายการใหม่ เรียกได้ว่าออกวิ่งกวาดเหรียญรางวัลแบบไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อยกันเลย จนได้ฉายาว่า คุณยายนักวิ่งแห่งแรนด์เบิร์ก
เคล็ดลับในการดูแลสุขภาพของคุณยายคือ ไม่กินน้ำตาล เกลือ แป้งขัดสี และคาเฟอีน คุณยายเชื่อมั่นเรื่องวินัยการกินอย่างมีคุณภาพ และกินให้ครบ 5 หมู่ มื้อเช้าของคุณยายนักวิ่งคือ ถั่วบด ธัญพืช และเบอร์รี่ ร่วมกับนมถั่วเหลือง มื้อกลางวันจะเป็นแซนด์วิชไส้เนยถั่วหรือไส้ชีส และอาหารเย็นต้องประกอบด้วยผัก 2 ชนิดขึ้นไป สิ่งเดียวที่คุณยายยอมอนุโลมให้คือ กาแฟคาปูชิโน่แบบไร้คาเฟอีน เพราะคุณยายบอกว่า "ฉันจะให้คะแนนตัวเองในการลงแข่งวิ่งทุกครั้ง วันไหนรู้สึกว่าพอใจจะให้ A วันไหนรู้สึกว่ายังทำเวลาไม่ดีจะให้ B แต่เชื่อไหมถ้ารายการไหนที่ฉันดื่มคาปูชิโน่จะได้ A ทุกครั้ง ไม่ว่าเส้นทางจะโหดขนาดไหนก็ตาม"
ุคุณยายจะตื่นตี 5 ครึ่ง ออกไปวิ่ง 7 ก.ม. สัปดาห์ละ 4 วัน สลับกับการเข้าคลาสฟิตเนส และออกกำลังกายแบบครอสเทรนนิ่งร่วมกันไป หยุดพักก่อนวันแข่งหนึ่งวัน ส่วนหลังวันแข่งคุณยายบอกว่า "อายุขนาดยายนี่ หยุดพักหลังแข่งสัก 2 วันน่ะกำลังดี"
คุณยายยังเล่าให้ฟังอีกว่า สมัยสาว ๆ ความคิดเรื่องการออกกำลังกายไม่เคยอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ แต่พอเข้าวัย 70 กว่า ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน แล้วเริ่มวิ่งทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป การวิ่งกลายเป็นภารกิจประจำวันของคุณยายไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหนก็ต้องหาเวลาวิ่ง คุณยายยังบอกต่อไปอีกว่า "คนเราพออายุเข้า 60 คิดว่าตัวเองแก่แล้วก็ไม่อยากจะทำอะไร อยากนอนอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้ว ยิ่งแก่ยิ่งควรต้องออกกำลังกายนะ เริ่มด้วยเดินก่อนก็ได้แล้วค่อยเริ่มวิ่ง แต่ถ้าวิ่งไม่ไหว ก็ต้องเดิน อย่างไรก็ควรต้องออกกำลังกายบ้าง"
คุณยายบอกว่าชอบบรรยากาศงานวิ่ง ได้ออกไปแข่งขัน ได้ออกไปรู้จักและพบปะผู้คนแปลกใหม่ รู้สึกสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกวิ่งและร่วมงานแข่งวิ่ง กำไรจากการวิ่งคือสุขภาพที่ดี และช่วยให้คุณยายได้ต่อสู้กับโรคกระดูกพรุนได้ และยังยืนยันว่าจะวิ่งต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีแรงเพราะว่า "ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่ และอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สูงอายุคนอื่น ๆ หันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งด้วย ทุกเช้าที่ฉันตื่นมา ฉันรู้ว่าขาฉันยังเดินได้ ฉันยังมีขา มีขาก็ต้องออกไปวิ่งสิ"