Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

เครื่องดนตรีไทย

Posted By Plookpedia | 07 ก.ค. 60
8,347 Views

  Favorite

เครื่องดนตรีไทย 


คือ สิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับทำเสียงให้เป็นทำนองหรือจังหวะวิธีที่ทำให้มีเสียงดังขึ้นนั้นมี อยู่ ๔ วิธี คือ

  • ใช้มือหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งดีดที่สายแล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่มีสายสำหรับดีด เรียกว่า "เครื่องดีด"
  • ใช้เส้นหางม้าหลาย ๆ เส้นรวมกันสีไปมาที่สายแล้วเกิดเสียงดังขึ้นสิ่งที่มีสายแล้วใช้เส้นหางม้าสีให้เกิดเสียงเรียกว่า "เครื่องสี"
  • ใช้มือหรือไม้ตีที่สิ่งนั้น แล้วเกิดเสียงดังขึ้นสิ่งที่ใช้ไม้หรือมือตี เรียกว่า "เครื่องตี"
  • ใช้ปากเป่าลมเข้าไปในสิ่งนั้นแล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่เป่าลมเข้าไปแล้วเกิดเสียงเรียกว่า "เครื่องป่า"

เครื่องทุกอย่างที่กล่าวแล้วรวมเรียกว่า เครื่องดีด สี ตี เป่า

 

เครื่องดีด

เครื่องดีดทุกอย่างจะต้องมีส่วนที่เป็นกระพุ้งเสียง บางทีก็เรียกว่า กะโหลก สำหรับทำให้ เสียงที่ดีดนั้นก้องวานดังขึ้นอีก เครื่องดีดของไทยที่ใช้ในวงดนตรีแต่โบราณเรียกว่า "พิณ" ซึ่งมาจากภาษาของชาวอินเดียที่ว่า "วีณา" ในสมัยหลังๆ ต่อมาจึงบัญญัติชื่อเป็นอย่างอื่น ตามรูปร่างบ้าง ตามภาษาของชาติใกล้เคียงบ้าง เช่น "กระจับปี่" ซึ่งมีกระพุ้งเสียงรูปแบน ด้านหน้าและด้านหลัง กลมรี คล้ายรูปไข่ มีคันต่อยาวเรียวขึ้นไป ตอนปลายบานและงอนโค้งไปข้างหลังเรียกว่า ทวน มี สายทำด้วยเอ็นหรือไหม ๔ สาย ขึงผ่านหน้ากะโหลกตามคันขึ้นไปจนถึงลูกบิด ๔ อัน ผูกปลาย สายอันละสาย มีนมติดตามคันทวนสำหรับกดสายลงไปติดสันนม ให้เกิดเสียงสูงต่ำตามประสงค์ ผู้ดีดต้องนั่งพับเพียบทางขวา วางตัวกระจับปี่ (กะโหลก) ลงตรงหน้าขาขวา กดนิ้วตามสายด้วยมือ ซ้าย ดีดด้วยมือขวา รูปกระจับปี่ (หรือพิณ) ของไทยมีลักษณะดังในภาพ

กระปี่จับ
กระจับปี่

 

 

เครื่องดีดของไทยที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในปัจจุบันก็คือ "จะเข้" จะเข้เป็นเครื่องดีดที่วางนอนตามพื้นราบทำด้วยไม้ท่อนขุดเป็นโพรงภายใน ไม้แก่นขนุนเป็นดีที่สุดด้านล่างมีกระดานแปะเป็นพื้นท้องเจาะรูระบายอากาศพอสมควรมีเท้าตอนหัว ๔ เท้า ตอนท้าย ๑ เท้า รวม เป็น ๕ เท้า มีสาย ๓ สาย สายเอก (เสียงสูง) กับสายกลางทำด้วยเอ็นหรือไหม สายต่ำสุดทำด้วยลวดทองเหลืองเรียกว่าสายลวดขึงจากหลักตอนหัวผ่านโต๊ะและนมไปลอดหย่องแล้วพันกับลูกบิดสายละลูกมีนมตั้งเรียงลำดับบนหลัง ๑๑ นม สำหรับกดสายให้แตะเป็นเสียงสูงต่ำตามต้องการการดีดต้องใช้ไม้ดีดทำด้วยงาช้างหรือกระดูกสัตว์เหลากลมเรียวแหลมผูกพันติดกับนิ้วชี้มือขวาดีดปัดสายไปมาส่วนมือซ้ายใช้นิ้วกดสายตรงสันนมต่าง ๆ ตามต้องการ

 

ซอสามสาย
ซอสามสาย

 

 

เครื่องสี 


เครื่องดนตรีที่ต้องใช้เส้นหางม้าหลาย ๆ เส้นรวมกันสีไปบนสายซึ่งทำด้วยไหมหรือเอ็นนี้โดยมากเรียกว่า "ซอ" ทั้งนั้นซอของไทยที่มีมาแต่โบราณก็คือ "ซอสามสาย" ใช้บรรเลงประกอบในพระราชพีธีสมโภชต่าง ๆ ซอสามสายนี้กะโหลกสำหรับอุ้มเสียงทำด้วยกะลามะพร้าวตัดขวางให้เหลือพูทั้งสามอยู่ด้านหลังขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัวมีคัน (ทวน) ตั้งต่อจากกะโหลกขึ้นไปยาวประมาณ ๑.๒๐ เมตร ทำด้วยงาช้างหรือไม้แก่นกลึงตอนปลายให้สวยงามมีลูกบิดสอด ขวางคันทวน ๓ อัน สำหรับพันปลายสายเร่งให้ตึงหรือหย่อนตามต้องการมีทวนล่างต่อลงไปจากกะโหลกกลึงให้เรียวเล็กลงไปจนแหลมเลี่ยมโลหะตอนปลายเพื่อให้แข็งแรงสำหรับปักลงกับพื้นสายทั้งสามนั้นทำด้วยไหมหรือเอ็นขึงจากทวนล่างผ่านหน้าซอซึ่งมีหย่องรองรับขึ้นไปตามทวน และร้อยเข้าในรูไปพันลูกบิดสายละอันส่วนคันชักหรือคันสีนั้นทำคล้ายคันกระสุนขึงด้วยเส้น หางม้าหลาย ๆ เส้นสีไปมาบนสายทั้งสามตามต้องการสิ่งสำคัญของซอสามสายอย่างหนึ่ง คือ "ถ่วงหน้า" ถ่วงหน้านี้ทำด้วยโลหะประดิษฐ์ให้สวยงามบางทีถึงแก่ฝังเพชรพลอยก็มีแต่จะต้องมีน้ำหนักได้ส่วนสัมพันธ์กับหน้าซอ สำหรับติดตรงหน้าซอตอนบนด้านซ้ายถ้าไม่มีถ่วงหน้าแล้วเสียงจะดังอู้อี้ไม่ไพเราะ

 

ซอด้วงเป็นเครื่องสีที่มี ๒ สายเรียกว่าสายเอกและสายทุ้มตัวกระพุ้งอุ้มเสียงเรียกว่า กระบอกเพราะมีรูปอย่างกระบอกไม้ไผ่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรืองาช้างขึงหน้าด้วยหนังงูเหลือมถ้าไม่มีก็ใช้หนังแพะหรือหนังลูกวัวมีทวน (คัน) เสียบกระบอกยาวขึ้นไปตอนปลายเป็นสี่เหลี่ยมโอนไปทางหลังมีลูกบิดสำหรับพันปลายสาย ๒ อัน เนื่องจากซอด้วงเป็นซอเสียงเล็กแหลมจึงใช้สายที่ทำด้วยไหมหรือเอ็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ส่วนคันชักนั้นร้อยเส้นหางม้าให้เข้าอยู่ในระหว่างสายทั้งสอง

 

ซออู้เป็นเครื่องสีที่มีสาย ๒ สาย ทำด้วยไหมหรือเอ็น เรียกว่า สายเอกและสายทุ้มเช่นเดียวกับซอด้วงแต่กะโหลกซึ่งเป็นเครื่องอุ้มเสียงทำด้วยกะลามะพร้าวตัดตามยาวให้พูอยู่ข้างบนขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว มีทวน (คัน) เสียบยาวขึ้นไปกลึงกลมตลอดปลายมีลูกบิดสำหรับพันสาย ๒ อัน คันชักนั้นร้อยเส้นหางม้าให้อยู่ภายในระหว่างสายทั้งสอง

ซออู้
ซออู้

 

การเรียกสายของเครื่องดนตรี ทั้งเครื่องดีด และเครื่องสีว่า "เอก" และ "ทุ้ม" นี้ เรียกตามลักษณะของเสียง สายที่มีเสียงสูงก็เรียกว่า สายเอกสายที่มีเสียงต่ำก็เรียกว่าสายทุ้มตลอดจนเครื่องตีที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็อนุโลมเช่นเดียวกันเครื่องที่มีเสียงสูงก็เรียกว่าเอก เครื่องที่มีเสียงต่ำก็เรียกว่าทุ้ม

 

 

เครื่องตี

เครื่องดนตรีที่ตีแล้วดังเป็นเพลงหรือเป็นจังหวะมีมากมายจะกล่าวเฉพาะที่ควรจะรู้จักและใช้กันอยู่ทั่วไปคือกรับเป็นเครื่องตีที่เมื่อตีแล้วดัง กรับ - กรับ กรับอย่างหนึ่งเป็นไม้ไผ่ผ่าซีก ๒ อัน ถือมือละอันแล้วเอาทางผิวไม้ตีกันเรียกว่า "กรับคู่" หรือ "กรับละคร" เพราะโดยมากใช้ประกอบการเล่นละคร อีกอย่างหนึ่งเป็นกรับที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรืองาช้างเป็นซีกหนา ๆ ประกบ ๒ ข้าง แล้วมีแผ่นโลหะหรือไม้หรืองาทำเป็นแผ่นบาง ๆ หลาย ๆ อันซ้อนกันอยู่ข้างในเจาะรูตอนโคนร้อยเชือกเหมือนพัดเรียกว่า "กรับพวง"

ง
กรับคู่และกรับพวง

 

 

ระนาด เป็นเครื่องตีที่ทำด้วยไม้หรือเหล็กหรือทองเหลืองหลาย ๆ อันเรียงเป็นลำดับกันบางอย่างก็ร้อยเชือกหัวท้ายแขวนบางอย่างก็วางเรียงกันเฉย ๆ 

ระนาดเอกลูกระนาดทำด้วยไม้ไผ่บงหรือไม้ชิงชังไม้พะยูงและไม้มะหาดลูกระนาดฝานหัวท้ายและท้องตอนกลางตัดให้มีความยาวลดหลั่นกันตามลำดับของเสียงโดยปกติมี ๒๑ ลูก เรียงเสียงต่ำสูงตามลำดับลูกระนาดทุกลูกเจาะรูร้อยเชือกหัวท้ายแขวนบนรางซึ่งมีรูปโค้งขึ้นมีเท้ารูปสี่เหลี่ยมตรงกลางสำหรับตั้งไม้สำหรับตีมี ๒ อย่างคือ ไม้แข็ง (เมื่อต้องการเสียงดังแกร่ง กร้าว) และไม้นวม (เมื่อต้องการเสียงเบาและนุ่มนวล)

ระนาดเอก

 

 

 

 

 

ระนาดทุ้มลูกระนาดเหมือนระนาดเอกแต่ใหญ่และยาวกว่ามี ๑๗ ลูก รางที่แขวนนั้นด้านบนโค้งขึ้นแต่ด้านล่างตรงขนานกับพื้นราบมีเท้าเล็ก ๆ ตรงมุม ๔ เท้า ไม้ตีใช้แต่ไม้นวม
การเทียบเสียงระนาดเอกและระนาดทุ้มเมื่อต้องการให้สูงต่ำใช้ขี้ผึ้งผสมกับผงตะกั่วติดตรงหัวและท้ายด้านล่างถ่วงเสียงตามต้องการ

ระนาดเอกเหล็กลูกระนาดทำด้วยเหล็กวางเรียงบนรางไม่ต้องเจาะรูร้อยเชือกมี ๒๐ ลูก หรือมากกว่านั้นถ้าลูกระนาดทำด้วยทองเหลืองก็เรียกว่าระนาดทอง

ระนาดทุ้มเหล็กเหมือนระนาดเอกเหล็กทุกประการนอกจากลูกระนาดใหญ่และยาวกว่า มี ๑๗ ลูก ถ้าทำด้วยทองเหลืองก็เรียกระนาดทุ้มทอง

การเทียบเสียงระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กนี้ใช้ตะไบถูหัวท้ายด้านล่างและท้องลูกระนาดไม่ใช้ขี้ผึ้งผสมผงตะถั่วติดเมื่อต้องการให้ลูกไหนเสียงสูงขึ้นก็ตะไบหัวหรือท้ายให้บางถ้าต้องการให้ต่ำก็ตะไบท้องให้บาง

ระนาดทุ้ม



ฆ้องทำด้วยโลหะเป็นแผ่นกลมตรงกลางมีปุ่มกลมนูนขึ้นสำหรับตีขอบนอกหักมุมลงรอบตัวเป็นรูปเหมือนฉัตรฆ้องมีหลายชนิด คือ 

 

ฆ้องโหม่งเป็นฆ้องขนาดเขื่องขนาดตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ถึง ๔๕ เซนติเมตร โดยปกติใช้แขวนไม้ขาหยั่ง ๓ อัน หรือทำเป็นรูปอย่างอื่นตีด้วยไม้ซึ่งพันด้วยผ้าเป็นปุ่มตอนปลายเสียงดังโหม่ง - โหม่ง จึงเรียกชื่อตามเสียง

ฆ้องโหม่ง

 

ฆ้องวงใหญ่มี ๑๖ ลูก ขนาดลดหลั่นกันไปตามลำดับลูกต้นขนาดใหญ่เสียงต่ำอยู่ทางซ้ายของผู้ตีลูกยอดขนาดเล็กเสียงสูงอยู่ทางขวาของผู้ตีทุกลูกผูกบนร้านซึ่งทำเป็นวงรอบตัวคนตีเว้นด้านหลังไว้ผู้ตีนั่งในกลางวงตีด้วยไม้ที่ทำด้วยแผ่นหนังหนาตัดเป็นวงกลมมีด้ามเสียบตรงรูกลางแผ่นหนัง

ฆ้องวงเล็กรูปร่างลักษณะเหมือนฆ้องวงใหญ่แต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้นมีจำนวนลูกฆ้อง ๑๘ ลูก 

การเทียบเสียงฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็กนี้ใช้ขี้ผึ้งผสมกับผงตะกั่วติดตรงด้านล่างของปุ่มฆ้องเพื่อให้ได้เสียงสูงต่ำตามต้องการ

ฆ้องวงเล็ก

 

 

ฉิ่ง ทำด้วยโลหะหล่อหนารูปเหมือนฝาชีปากกว้างประมาณ ๖ เซนติเมตร มีรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือกสำรับหนึ่งมี ๒ อัน เรียกว่าคู่ตีให้ทางปากเข้ากระทบประกบกันดัง ฉิ่ง - ฉับ

 

ฉาบทำด้วยโลหะหล่อบางกว่าฉิ่งรูปเหมือนฉิ่งแต่มีชานต่อออกไปรอบตัวสำรับหนึง มี ๒ อัน เรียกว่าคู่เหมือนกันฉาบนี้มี ๒ ขนาด อย่างเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๓ เซนติเมตร เรียกว่า "ฉาบเล็ก" อย่างใหญ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เรียกว่า "ฉาบใหญ่

ฉาบเล็กและใหญ่

 

 

กลองทัดเป็นเครื่องตีที่ทำด้วยไม้ท่อนกลึงให้ได้รูปและสัดส่วนภายในขุดเป็นโพรงขึงหน้าทั้งสองข้างด้วยหนังวัวหรือหนังควายตรึงด้วยหมุด (เรียกว่าแส้) ขนาดหน้ากลองเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๔๖ เซนติเมตรเท่ากันทั้งสองหน้าตัวกลองยาวประมาณ ๕๑ เซนติเมตร มีหูสำหรับแขวนเรียกว่าหูระวิง ๑ หู ชุดหนึ่งมี ๒ ลูก ลูกเสียงสูงเรียกว่าตัวผู้ ลูกเสียงต่ำเรียกว่าตัวเมียก่อนจะใช้ต้องติดข้าวสุกผสมกับขี้เถ้าบดให้เข้ากันติดตรงกลางหน้าล่างซึ่งไม่ได้ใช้ตีเพื่อให้เสียงนุ่มนวลขึ้นใช้ตีด้วยไม้ท่อนยาวประมาณ ๕๐ เซนติเมตร

กลองทัด

 

 

กลองแขกเป็นกลองที่มีรูปร่างยาวประมาณ ๕๗ เซนติเมตร ขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัวหน้าข้างหนึ่งใหญ่กว้างประมาณ ๒๐ เซนติเมตร เรียกว่า "หน้ารุ่ย" หน้าข้างเล็กกว้าง ประมาณ ๑๗ เซนติเมตร เรียกว่า "หน้าต่าน" มีสายโย่งเร่งเสียงถึงกันทั้งสองหน้าห่าง ๆ ทำด้วยหวายผ่าซีกและอีกเส้นหนึ่งพันยึดสายเป็นคู่ ๆ รอบกลองเรียกว่า รัดอกสำรับหนึ่งมี ๒ ลูก ลูก เสียงสูงเรียกว่าตัวผู้ ลูกเสียงต่ำเรียกว่าตัวเมีย ใช้ตีด้วยมือทั้งสองหน้า

 

โทน เป็นเครื่องตีที่ขึงหนังหน้าเดียวรูปร่างตอนต้นโตแล้วค่อยเรียวลงไปตอนสุดผายออกนิดหน่อยมีสายโยงเร่งเสียงจากหน้ามาถึงคอซึ่งมีอยู่ ๒ อย่างคือโทนมโหรีกับโทนชาตรีรูปร่างลักษณะต่างกันเล็กน้อย

 

โทนมโหรีสำหรับใช้ในวงมโหรีในสมัยโบราณเรียกว่า "ทับ" จึงได้เรียกทั้งสองชื่อติดกันว่า "โทนทับ" ตัวโทนทำด้วยดินเผาสายโยงเร่งเสียงมักใช้ไหมหรือเอ็น (อย่างสายซอ) หรือด้ายขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัวหรือหนังงูเหลือม

โทนมโหรี

 

 

โทนชาตรีตัวโทนทำด้วยไม้สายโยงเร่งเสียงมักจะใช้หนังขึงหน้าด้วยหนังลูกวัวโดยมากทางภาคใต้มักใช้ขนาดใหญ่ส่วนภาคกลางใช้ขนาดย่อมกว่า

โทนชาตรี

 

 

รำมะนาเป็นเครื่องตีที่ขึงหนังหน้าเดียวรูปร่างแบน (หรือสั้น) มี ๒ อย่าง คือ รำมะนา ลำตัดและรำมะนามโหรี รำมะนาตัดนั้นมีขนาดใหญ่แต่จะไม่พูดถึงเพราะมิได้อยู่ในวงดนตรีจึงกล่าวแต่เฉพาะรำมะนาที่ใช้ในวงมโหรีเท่านั้น

รำมะนา

 

 

รำมะนาในวงมโหรีขึงหน้าด้วยหนังลูกวัว ตรึงด้วยหมุดตัวกลองสั้นกลึงให้ทางปากสอบเข้ามีเส้นเชือกควั่นเป็นเกลียวยัดหนุนริมหน้าภายในสำหรับหมุนให้หน้าตึงขึ้นเรียกว่า "สนับ"

 

ตะโพนเป็นเครื่องตีที่ขึงหนัง ๒ หน้าตัวหุ่นทำด้วยไม้ตรงกลางป่องภายในขุดเป็นโพรงหนังที่ขึงหน้าเจาะรูรอบมีเส้นหนังเล็ก ๆ ควั่นเป็นเกลียวถักเรียกว่า "ไส้ละมาน" ใช้หนังตัดเป็นแถบเล็ก ๆ เรียกว่า "หนังเรียด" ร้อยไส้ละมานโยงทั้งสองหน้าเร่งเสียงตามต้องการตรงกลางมีหนังเรียดพันเป็น "รัดอก" วางนอนบนเท้าซึ่งทำด้วยไม้เข้ารูปกับหน้าตะโพนหน้าใหญ่เรียกว่า "หน้าเท่ง" หน้าเล็กเรียกว่า "หน้ามัด" เวลาจะตีต้องติดข้าวสุกผสมกับขี้เถ้าทางหน้าเท่งถ่วงเสียงให้พอเหมาะ

 

 

เครื่องเป่า 

เครื่องดนตรีไทยที่ใช้ลมเป่าแล้วดังเป็นเสียงนั้นแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งต้องมีลิ้นที่ทำด้วยใบไม้หรือไม้ไผ่หรือโลหะสอดใส่เข้าไว้เมื่อเป่าลมเข้าไปลิ้นก็จะเต้นไหวให้เกิดเสียง เรียกว่า "ปี่" อีกประเภทหนึ่งไม่มีลิ้นแต่มีรูบังคับทำให้ลมที่เป่าหักมุมแล้วเกิดเป็นเสียงขึ้นเรียกว่า "ขลุ่ย" ทั้งปี่และขลุ่ยลักษณนามเรียกว่า "เลา" ซึ่งมีอยู่หลายประเภทแต่จะกล่าวเฉพาะที่ควรรู้เท่านั้น คือ

ปี่ในทำด้วยไม้ชิงชังหรือไม้พะยูงกลึงให้ป่องกลางและบานปลายทั้ง ๒ ข้างเล็กน้อย เจาะเป็นรูกลวงภายในมีรูสำหรับปิดเปิดนิ้วให้เป็นเสียงสูงต่ำเจาะที่ตัวปี่ ๖ รู ๔ รูบนเรียงตามลำดับแล้วเว้นห่างพอควรจึงถึง ๒ รูล่าง ลิ้นปี่ทำด้วยใบตาลตัดกลมมนซ้อน ๔ ชั้น ผูกติดกับหลอดโลหะที่เรียกว่า "กำพวด" สอดกำพวดเข้าในรูปี่ด้านบนแล้วจึงเป่า

ที่เรียกว่าปี่ในนี้มาเรียกกันเมื่อมีปี่รูปร่างอย่างเดียวกัน แต่ขนาดต่างกันเกิดขึ้น คือ ปี่ที่ย่อมกว่าปี่ใน เล็กน้อยเรียก "ปี่กลาง" และปี่ขนาดเล็กเรียกว่า "ปี่นอก"

ปี่ใน ปี่กลาง และปี่นอก

 

ปี่ไฉนเป็นปี่ที่มี ๒ ท่อน สวมต่อกันมีรูปเหมือนดอกลำโพงยาวประมาณ ๑๙ เซนติเมตร บรรเลงร่วมกับกลองชนะในงานพระบรมศพพระศพเจ้านายหรือศพที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศ

ปี่ชวารูปร่างเหมือนปี่ไฉนแต่ใหญ่กว่ายาวประมาณ ๓๙ เซนติเมตร บรรเลงร่วมในวงเครื่องสายปี่ชวาและปี่พาทย์นางหงส์

ปี่ไฉนและปี่ชวา



ขลุ่ยเป็นเครื่องเป่าที่ไม่มีลิ้นทำด้วยไม้รวก (ที่ทำด้วยไม้ชิงชังหรืองาช้างก็มี) มีรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ด้านใต้ซึ่งทำให้ลมหักมุมลงเรียกว่ารูปากนกแก้ว รูที่สำหรับปิดเปิดนิ้วบังคับเสียงสูงต่ำอยู่ด้านบน ๗ รู และด้านล่างเรียกว่ารูนิ้วค้ำอีก ๑ รู ด้านขวามีรูสำหรับปิดเยื่อ (เยื่อ ในปล้องไม้ไผ่หรือเยื่อหัวหอม) เพื่อให้เสียงแตก (เมื่อต้องการ) ขลุ่ยรูปร่างอย่างเดียวกันนี้มี ๓ ขนาด คือ "ขลุ่ยหลิบ" ขนาดเล็ก มีเสียงสูงยาวประมาณ ๓๖ เซนติเมตร "ขลุ่ยเพียงออ" ขนาดกลางเสียงระดับกลางยาวประมาณ ๔๕ เซนติเมตร และ "ขลุ่ยอู้" ขนาดใหญ่ มีเสียงต่ำยาว ประมาณ ๖๐ เซนติเมตร

 
เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow