Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

เภสัชกรรมไทย

Posted By Plookpedia | 26 เม.ย. 60
2,892 Views

  Favorite

เภสัชกรรมไทย

      เภสัชกรรมไทยเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งในหลักวิชาการแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยทุกคนต้องมีความรู้ในด้านนี้จึงสามารถประกอบวิชาชีพรักษาผู้ป่วยได้ ตามหลักวิชาการแพทย์แผนไทยผู้เป็นแพทย์จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักความรู้ ๔ ประการ อันได้แก่ เภสัชวัตถุ สรรพคุณเภสัช คณาเภสัช และเภสัชกรรม

๑. เภสัชวัตถุ 

หมายถึง วัตถุนานาชนิดที่นำมาใช้เป็นยาบำบัดโรคซึ่งอาจจำแนกตามแหล่งที่มาของวัตถุที่นำมาใช้เป็นยานั้น เป็น ๓ ประเภทใหญ่ ๆ คือ 
      พฤกษวัตถุ ได้แก่ พรรณพฤกษชาตินานาชนิดทั้งประเภทต้น ประเภทเถาหรือเครือ ประเภทหัว ประเภทผัก ประเภทหญ้า ประเภทพืชพิเศษ (เห็ดและพืชชั้นต่ำอื่น ๆ)
      สัตววัตถุ ได้แก่ สัตว์นานาชนิดที่ทั้งตัวหรือเพียงบางส่วนนำมาใช้เป็นเครื่องยาไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก หรือสัตว์อากาศ (สัตว์ที่บินได้) 
      ธาตุวัตถุ ได้แก่ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่นำมาใช้เป็นเครื่องยาทั้งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติหรือที่ประสมขึ้น
      ตำราการแพทย์แผนไทยระบุไว้ว่าสรรพวัตถุที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนเกิดแต่ธาตุทั้ง ๔ และย่อมใช้เป็นยาบำบัดโรคได้ทั้งสิ้นแต่จะมีสรรพคุณมากน้อยกว่ากันอย่างไรขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุนั้น ๆ แพทย์ผู้ปรุงยาจึงต้องรู้จักตัวยาใน ๕ ประการ ได้แก่
ก. รู้จักรูปยา
      คือ รู้ว่าเครื่องยาที่ใช้เป็นอะไรเป็นส่วนใดของพืช เช่น ใบ ดอก ผล เปลือก กระพี้ แก่น ราก หรือเป็นส่วนใดของตัวสัตว์ เช่น ขน หนัง เขา กระดูก กีบ นอ งา เขี้ยว ฟัน กราม ดี หรือเป็นของที่เกิดแต่ธรรมชาติ เช่น เกลือ เหล่านี้จึงจัดว่ารู้จักรูปยา
ข. รู้จักสียา
      คือ รู้จักสีของเครื่องยา รู้ว่าเครื่องยาอย่างนี้มีสีขาว สีเหลือง สีเขียว หรือสีดำ เช่น รู้ว่าการบูรมีสีขาว รงทองมีสีเหลือง จุนสีมีสีเขียว ฝางเสนมีสีแสดแดงหรือสีแดงแสด ยาดำมีสีดำ เหล่านี้จึงจะจัดว่ารู้จักสียา
ค. รู้จักกลิ่นยา
      คือ รู้จักกลิ่นของเครื่องยา รู้ว่าอย่างนี้มีกลิ่นหอมอย่างนี้มีกลิ่นเหม็น เช่น พิมเสน หญ้าฝรั่น อำพันทอง กฤษณา กระลำพัก ชะลูด อบเชย ขอนดอก มีกลิ่นหอม ยาดำ มหาหิงคุ์ มีกลิ่นเหม็นเหล่านี้จึงจัดว่ารู้จักกลิ่นยา

 

การแพทย์แผนไทย


ง. รู้จักรสยา
      คือ รู้จักรสของเครื่องยา รู้ว่ายาอย่างนี้มีรสจืด รสฝาด รสหวาน รสเบื่อเมา รสขม รสมัน รสเย็น รสเค็ม รสเปรี้ยว เช่น กำมะถันมีรสจืด เบญกานีมีรสฝาด ชะเอมมีรสหวาน เมล็ดสะบ้ามีรสเบื่อเมา บอระเพ็ดมีรสขม พริกไทยมีรสเผ็ดร้อน เมล็ดงามีรสมัน ดอกมะลิมีรสหอมเย็น เกลือมีรสเค็ม มะขามเปียกมีรสเปรี้ยว เหล่านี้จึงจัดว่ารู้จักรสยา

 

การแพทย์แผนไทย


จ. รู้จักชื่อยา
      คือ รู้จักชื่อของเครื่องยา รู้ว่าชื่อยาอย่างนั้นอย่างนี้คืออะไร มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่นอย่างไรจึงจัดว่ารู้จักชื่อยา 

แพทย์ผู้ปรุงยาต้องรู้จักเภสัชวัตถุในรายละเอียดทั้ง ๕ ประการนี้จึงจะสามารถนำเอาเครื่องยาที่ถูกต้องตามที่ระบุไว้ในตำรับยามาปรุงเป็นยาแก้โรคที่ต้องการได้

๒. สรรพคุณเภสัช 

      หมายถึง คุณสมบัติทางยาของเภสัชวัตถุที่กล่าวถึงข้างต้น ตามหลักวิชาเภสัชกรรมไทยระบุว่าก่อนที่จะรู้สรรพคุณของยาจำเป็นต้องรู้รสของยาก่อนเนื่องจากหลักวิชาการแพทย์แผนไทยกล่าวว่า รสของยาจะแสดงสรรพคุณยา ดังนั้นเมื่อรู้จักรสยาแล้วก็จะรู้จักสรรพคุณของยานั้นอย่างกว้าง ๆ ได้ ในเรื่องของรสยานี้ตำราแบ่งออกเป็นรสประธาน ๓ รส คือ
ก. ยารสเย็น
      ได้แก่ ยาที่ปรุงผสมด้วยเกสรดอกไม้ (ที่ไม่ร้อน) ใบไม้ รากไม้ (ที่ไม่ร้อน) สัตตเขา (เขาสัตว์ ๗ ชนิด ได้แก่ เขาวัว เขาควาย เขากระทิง เขากวาง เขาแกะ เขาแพะ และเขาเลียงผา) เนาวเขี้ยว (เขี้ยวสัตว์ ๙ ชนิด ได้แก่ เขี้ยวหมูป่า เขี้ยวหมี เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมาป่า เขี้ยวปลาพะยูน เขี้ยวจระเข้ เขี้ยวเลียงผา นอแรด และงาช้าง) และของที่เผาหรือสุมให้เป็นถ่านเมื่อปรุงเป็นยาเสร็จแล้วจะได้ยารสเย็น ใช้แก้โรคที่เกิดจากธาตุไฟ
ข. ยารสร้อน 
      ได้แก่ ยาที่ปรุงผสมด้วยเบญจกูล (ตัวยาที่มีรสร้อน ๕ อย่าง ได้แก่ ดีปลี รากช้าพลู เถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิง และขิงแห้ง) ตรีกฏุก (ตัวยาที่มีรสร้อน ๓ อย่าง ได้แก่ ขิงแห้ง พริกไทย และดีปลี) หัสคุณ ขิง ข่า เมื่อปรุงเป็นยาเสร็จแล้วจะได้ยาที่มีรสร้อนใช้แก้โรคที่เกิดจากธาตุลม
 

การแพท์แผนไทย

 

ค. ยารสสุขุม
      ได้แก่ ยาที่ปรุงผสมด้วยโกฐ เทียน กฤษณา กระลำพัก ชะลูด อบเชย ขอนดอก เมื่อปรุงเป็นยาแล้วจะได้ยาที่มีรสสุขุม เช่น ยาหอม สำหรับแก้โรคทางโลหิตรสประธานทั้ง ๓ รสนั้นแพทย์แผนไทยยังแบ่งย่อยออกได้เป็น ๙ รส คือ
      (๑) รสฝาด สำหรับสมาน 
      (๒) รสหวาน สำหรับซึมซาบไปตามเนื้อ 
      (๓) รสเบื่อเมา สำหรับแก้พิษ 
      (๔) รสขม สำหรับแก้ทางโลหิต 
      (๕) รสเผ็ดร้อน สำหรับแก้ลม 
      (๖) รสมัน สำหรับแก้เส้น  
      (๗) รสหอมเย็น สำหรับบำรุงหัวใจ 
      (๘) รสเค็ม สำหรับซึมซาบไปตามผิวหนัง และ 
      (๙) รสเปรี้ยว สำหรับกัดเสมหะ แต่ในตำราเวชศึกษา (ตำราหลวง) ของพระยาพิศนุประสาทเวชได้เพิ่มรสจืดอีก ๑ รส รวมเป็น ๑๐ รส

      ตำราแพทย์แผนไทยสรุปว่าโรคที่เกิดจากปถวีธาตุพิการให้แก้ด้วยยารสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม โรคที่เกิดจากอาโปธาตุพิการให้แก้ด้วยยารสเปรี้ยว รสเบื่อเมา รสขม ส่วนโรคที่เกิดจากวาโยธาตุพิการให้แก้ด้วยยารสสุขุม รสเผ็ดร้อน  โรคที่เกิดจากเตโชธาตุพิการให้แก้ด้วยยารสเย็น รสจืด และได้กำหนดตัวยาประจำธาตุต่าง ๆ ไว้ คือ ดีปลีประจำปถวีธาตุ เถาสะค้านประจำวาโยธาตุ รากช้าพลูประจำอาโปธาตุ รากเจตมูลเพลิงประจำเตโชธาตุ และขิงแห้งประจำอากาศธาตุ

๓. คณาเภสัช 

      หมายถึง หมู่ยา กลุ่มยา เป็นภูมิปัญญาทางการแพทย์ของไทย ในการจัดตัวยาหรือเภสัชวัตถุรวมกันไว้เป็นกลุ่มเป็นหมู่เป็นพวกเพื่อสะดวกในการจดจำหรือสะดวกในการเขียนสูตรยา ตัวยาที่เข้าพวกกันนั้นต้องมีรสและฤทธิ์ไปในทางเดียวกันอาจเสริมฤทธิ์กันไม่ต้านกันและใช้ในปริมาณเท่ากันโดยอาจผูกชื่อเรียกเฉพาะแต่เป็นที่เข้าใจกันในหมู่ผู้ที่ศึกษาวิชาการแพทย์แผนไทย เช่น ตรีผลา หมายถึง สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม หรือเรียกเป็นชื่อกลาง ๆ ของตัวยาที่อยู่ในหมู่นั้น เช่น ตรีสมอ หมายถึง สมอไทย สมอพิเภก และสมอเทศ คณาเภสัชแบ่งออกเป็น ๓ พวกใหญ่ ๆ ได้แก่ จุลพิกัด พิกัดยาหรือพิกัดตัวยา และมหาพิกัด 
ก. จุลพิกัด 
เป็นการจำกัดตัวยาไว้น้อยชนิดโดยมากเป็น ๒ ชนิด แต่ที่เป็น ๑ หรือ ๓ ชนิดก็มี ตัวยาแต่ละอย่างใช้ในน้ำหนักเท่ากันโดยพิกัดนี้มีชื่อร่วมหรือเหมือนกันอาจแบ่งได้เป็น ๕ ประเภท คือ  
      (๑) ประเภทต่างถิ่นที่เกิด  
      (๒) ประเภทต่างสี  
      (๓) ประเภทต่างขนาด 
      (๔) ประเภทต่างเพศ  
      (๕) ประเภทต่างรส 
ข. พิกัดยาหรือพิกัดตัวยา 
      เป็นการจำกัดตัวยาไว้โดยใช้ชื่อเดียวกันใช้ในขนาดเท่า ๆ กัน (เสมอภาค) เพื่อสะดวกแก่ผู้ตั้งตำรา ผู้คัดลอกตำรับยา และแพทย์ผู้ปรุงยา โดยมีชื่อเป็นคำศัพท์บ้าง มีชื่อโดยตรงของตัวยาบ้าง แบ่งเป็น ๗ ประเภท รวม ๘๑ พิกัด ตัวอย่างเช่น พิกัดเทวคันทา พิกัดตรีกฏุก พิกัดจตุวาตผล พิกัดเบญจโลกวิเชียร พิกัดโหราพิเศษ พิกัดโกฐทั้งเจ็ด พิกัดเทียนทั้งเก้า พิกัดเทศกุลาผล 
ค. มหาพิกัด  
      เป็นการจำกัดตัวยาหลาย ๆ อย่างไว้เป็นหมู่เป็นพวกเดียวกันแต่กำหนดส่วนหรือปริมาณโดยน้ำหนักของยาไว้มากน้อยต่างกันตามสมุฏฐานแห่งโรคโดยที่สัดส่วนของตัวยาทั้งหลายจะเปลี่ยนไปตามรสประธานที่ต้องการซึ่งรสประธานของยานั้นจะขึ้นอยู่กับสมุฏฐานแห่งโรคว่าเกิดจากอะไร 

๔. เภสัชกรรม (การปรุงยา หรือการประกอบยา) 

      หมายถึง การผสมตัวยาหรือเครื่องยาตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไปเข้าด้วยกันตามที่กำหนดไว้ในตำรับยาโดยในการปรุงยาแพทย์ต้องพิจารณาเรื่องสำคัญ ๓ เรื่อง คือ
ก. พิจารณาลักษณะของตัวยา
      ต้องพิจารณาว่าในตำรับยาให้ใช้ส่วนใดของตัวยา เช่น พืชวัตถุอาจใช้ส่วนเปลือกต้น ราก หรือดอก สัตววัตถุอาจใช้กระดูก กระดอง หนัง หรือดี และธาตุวัตถุอาจดิบหรือต้องสะตุ (การทำให้เป็นผงบริสุทธิ์ด้วยการใช้ความร้อนจัด) หรือต้องแปรสภาพก่อน นอกจากนี้ตัวยาในตำรับยาอาจให้ใช้สดหรือแห้งอ่อนหรือแก่เนื่องจากสรรพคุณจะแตกต่างกัน เช่น ขิงสด ขิงแห้ง ลูกสมออ่อน ลูกสมอแก่ ตัวยาบางอย่างต้องแปรสภาพก่อนจึงจะใช้ผสมยาได้ เช่น หอยมุก บัลลังก์ศิลา (ปะการังแดง) กระดูก เขี้ยว เขา หากยังไม่แปรสภาพสรรพคุณจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ตัวยาบางอย่างมีฤทธิ์แรงก็ต้อง "ฆ่า" ฤทธิ์เสียก่อน เช่น เมล็ดสลอด ยางสลัดได ชะมดเช็ด ทั้งนี้วิธีการแปรสภาพหรือ "ฆ่า" ตัวยาที่มีฤทธิ์แรงนั้นมีวิธีทำที่แตกต่างกันไป
ข. พิจารณาขนาดของตัวยา
      ต้องทราบว่าในตำรับนั้นให้ใช้ตัวยาในปริมาณสิ่งละเท่าใด โดยโบราณกำหนดไว้เป็นมาตราน้ำหนัก ได้แก่ ชั่ง (๑ ชั่ง เท่ากับ ๒๐ ตำลึง คิดเป็นน้ำหนักในมาตราเมตริก ๑,๒๑๖ กรัม) ตำลึง (๑ ตำลึง เท่ากับ ๔ บาท) และบาท (๑ บาท เท่ากับ ๔ สลึง คิดเป็นน้ำหนักในมาตราเมตริก ๑๕ กรัม) หรือเป็นมาตราตวงซึ่งหน่วยที่ใช้มากในตำราพระโอสถพระนารายณ์คือ "ทะนาน" โดยทั่วไปปริมาตร "๑ ทะนาน" เท่ากับปริมาตรของกะโหลก (มะพร้าว) ที่บรรจุเบี้ย (ที่ใช้เป็นเงินตรา) ได้เต็มตามจำนวนที่กำหนด เช่น "ทะนาน ๕๐๐" เป็นปริมาณที่บรรจุเบี้ยได้ ๕๐๐ เบี้ย "ทะนาน ๘๐๐" เป็นปริมาณที่บรรจุเบี้ยได้ ๘๐๐ เบี้ย โดยทั่วไปปริมาตรที่นิยมใช้กันมากในสมัยโบราณ คือ "ทะนาน ๕๐๐" นอกจากนั้นหากในตำรับยาไม่ได้ระบุขนาดของตัวยาแต่ละตัวไว้ก็ให้ถือว่าใช้ขนาดเท่ากัน (โบราณเรียก "เสมอภาค")
ค. พิจารณาวิธีการปรุงยา
      วิธีการปรุงยาตามแบบแผนไทยโบราณนั้น ตามตำราเวชศึกษา อาจแบ่งเป็นวิธีต่างๆ ได้ ๓ แบบ คือ แบบที่แบ่งเป็น ๒๓ วิธี แบบที่แบ่งเป็น ๒๔ วิธี และแบบที่แบ่งเป็น ๒๕ วิธี วิธีปรุงยาแบบ ๒๓ วิธี ได้แก่  
      (๑) ยาตำเป็นผงแล้ว ปั้นเป็นลูกกลอนกิน 
      (๒) ยาตำเป็นผงแล้ว บดให้ละเอียดละลายน้ำกระสายต่างๆ กิน 
      (๓) ยาสับเป็นท่อนเป็นชิ้น บรรจุลงในหม้อ เติมน้ำ ต้ม รินแต่น้ำกิน  
      (๔) ยาดอง แช่ด้วยน้ำท่าหรือน้ำสุรา แล้วรินแต่น้ำกิน 
      (๕) ยาแช่กัดด้วยเหล้าหรือแอลกอฮอล์ แล้วหยดลงเติมน้ำตามส่วน ดื่มกิน 
      (๖) ยาเผาให้เป็นด่าง เอาด่างแช่น้ำไว้ แล้วรินแต่น้ำด่างนั้นกิน  
      (๗) ยาเผาหรือสุมไฟให้ไหม้ตำเป็นผง บดให้ละเอียด ละลายน้ำกิน  
      (๘) ยากลั่นเอาน้ำเหงื่อ แล้วเอาน้ำเหงื่อนั้นกิน 
      (๙) ยาประสมแล้ว ห่อผ้าหรือบรรจุลงในกลัก เอาไว้ใช้ดม 
      (๑๐) ยาประสมแล้ว ตำเป็นผง กวนให้ละเอียด ใส่กล้อง เป่าทางจมูกและในคอ
      (๑๑) ยาหุงด้วยน้ำมัน เอาน้ำมันใส่กล้อง เป่าที่บาดแผล  
      (๑๒) ยาประสมแล้ว ติดไฟ ใช้ควัน ใส่กล้อง เป่าบาดแผลและฐานฝี  
      (๑๓) ยาประสมแล้วมวนเป็นบุหรี่ หรือยัดกล้องสูบ สูบเอาควัน
      (๑๔) ยาประสมแล้ว ต้มเอาน้ำอมหรือบ้วนปาก  
      (๑๕) ยาประสมแล้ว ต้มเอาน้ำอาบ 
      (๑๖) ยาประสมแล้ว ต้มเอาน้ำแช่  
      (๑๗) ยาประสมแล้ว ต้มเอาน้ำชะ 
      (๑๘) ยาประสมแล้ว ต้มเอาไอรม 
      (๑๙) ยาประสมแล้ว ใช้เป็นยาสุม  
      (๒๐) ยาประสมแล้ว ใช้เป็นยาทา 
      (๒๑) ยาประสมแล้ว ทำเป็นลูกประคบ
      (๒๒) ยาประสมแล้ว ใช้เหน็บทวารหนัก 
      (๒๓) ยาประสมแล้ว ต้มเอาน้ำสวนทวารหนัก
      สำหรับวิธีการปรุงยาแบบ ๒๔ วิธีนั้นเพิ่ม "ยาพอก" เข้ามาเป็นวิธีที่ ๒๔ ยาพอกนั้นเตรียมได้โดยการเอาตัวยาต่าง ๆ มาประสมกันแล้วตำให้แหลกพอกไว้บริเวณที่ต้องการ ส่วนตำราที่ให้วิธีการปรุงยาแบบโบราณเป็น ๒๕ วิธีนั้น เพิ่ม "ยากวาด" เข้ามาเป็นวิธีที่ ๒๕  โดยสรุปแล้วแพทย์แผนไทยต้องมีความรู้ในหลักวิชาเภสัชกรรมไทยซึ่งครอบคลุมความรู้ทั้ง ๔ ด้าน คือ เภสัชวัตถุ สรรพคุณเภสัช คณาเภสัช และเภสัชกรรม จึงจะปรุงยาที่มีคุณภาพดีมีประสิทธิผลและปลอดภัย 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow