Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ลิเกยุคต่างๆ

Posted By Plookpedia | 26 เม.ย. 60
3,075 Views

  Favorite

ลิเกยุคต่างๆ

ยุคลิเกสวดแขก

      คือ ยุคที่ชาวไทยมุสลิมเดินทางจากภาคใต้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานคร ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วได้นำการสวดสรรเสริญพระเจ้าประกอบการตีรำมะนา (กลองหน้าเดียวตีประกอบลำตัดในปัจจุบัน) เข้ามาด้วย  ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ลูกหลานชาวไทยมุสลิมก็ใช้ภาษาไทยแทนภาษามลายู สำหรับการแสดงลิเกสวดแขกนั้นผู้แสดงชายนั่งล้อมเป็นวงกลมมีคนตีรำมะนาเสียงทุ้มและแหลม ๔ ใบ หรือ ๑ สำรับ การแสดงเริ่มด้วยการสวดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษามลายู จากนั้นก็ร้องเพลงด้นกลอนภาษามลายูตอนใต้ เรียกกันว่า ปันตุน หรือ ลิเกบันตน ต่อมาแปลงจากภาษามลายูเป็นภาษาไทยการแสดงบางครั้งมีการประชันวงร้องตอบโต้กันจนกลายมาเป็นลำตัดในปัจจุบัน

 

 

ยุคลิเกออกภาษา 

      คือ ยุคที่ลิเกนำเพลงออกภาษาของการบรรเลงปี่พาทย์และการสวดคฤหัสถ์ในงานศพสมัยรัชกาลที่ ๕ มาเพิ่มเข้าไปในการแสดงลิเก เพลงออกภาษาเป็นการแสดงล้อเลียนชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครในขณะนั้นด้วยการนำการแต่งกายน้ำเสียงในการพูดภาษาไทยปนกับภาษาของตนและเพลงที่ขับร้องในหมู่ชาวต่างชาติเหล่านั้นมาล้อเลียนเป็นที่สนุกสนานผู้ชมนิยมกันมาก เมื่อลิเกนำมาใช้ก็เริ่มต้นการแสดงด้วยการสวดแขกเป็นการออกภาษามลายูเพราะถือว่าเป็นการแสดงที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิริมงคลแล้วจึงต่อด้วยภาษาอื่น ๆ เช่น มอญ จีน ลาว ญวน พม่า เขมร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ชวา อินเดีย ตะลุง (ปักษ์ใต้) การแสดงออกภาษาเป็นการแสดงตลกชุดสั้น ๆ ติดต่อกันไป  ต่อมาปรับปรุงการแสดงมาเป็นเริ่มต้นด้วยสวดแขกแล้วต่อด้วยชุดออกภาษาแสดงเป็นละครเรื่องยาวอีก ๑ ชุด

 

ลิเกทรงเครื่องยุคต้นๆ

 

ยุคลิเกทรงเครื่อง 

      การแสดงลิเกออกภาษาในส่วนที่เป็นสวดแขกกลายเป็นการออกแขกมีผู้แสดงแต่งกายเลียนแบบชาวมลายูออกมาร้องเพลงอำนวยพรมีตัวตลกถือขันน้ำตามออกมาให้ผู้แสดงเป็นแขกประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล  ส่วนที่เป็นชุดออกภาษากลายเป็นละครเต็มรูปแบบซึ่งวงรำมะนายังคงใช้บรรเลงตอนออกแขกแต่ใช้ปี่พาทย์บรรเลงในช่วงละครเครื่องแต่งกายหรูหราเลียนแบบข้าราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงเรียกว่า ลิเกทรงเครื่อง ลิเกทรงเครื่องแสดงในโรง (วิก) และเก็บค่าเข้าชม เกิดขึ้นโดยคณะของพระยาเพชรปาณีข้าราชการกระทรวงวังซึ่งนำแสดงโดยภรรยาของตน วิกพระยาเพชรปาณีตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองหน้าวัดราชนัดดารามประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ ลิเกทรงเครื่องแพร่หลายไปทั่วภาคกลางอย่างรวดเร็วมีวิกลิเกเกิดขึ้นมากมาย ต่อมามีการนำเนื้อเรื่องและขนบธรรมเนียมของละครรำมาใช้ จนถึงขั้นแสดงเรื่องอิเหนาตามบทพระราชนิพนธ์ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ลิเกทรงเครื่องก็ประสบปัญหาการขาดแคลนวัสดุเครื่องแต่งกายซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ผ้าและเพชรเทียม จนในที่สุดการแต่งกายชุดลิเกทรงเครื่องก็หมดไป วงรำมะนาที่ใช้กับการออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่พาทย์แทนเพื่อเป็นการประหยัด เพลงรานิเกลิงหรือเพลงลิเก เกิดขึ้นโดยนายดอกดิน เสือสง่า ในยุคลิเกทรงเครื่องนี้เองและต่อมานายหอมหวล นาคศิริ ได้นำเพลงรานิเกลิงไปร้องด้นกลอนสดอย่างยาวหลายคำกลอนทำให้มีชื่อเสียงและมีลูกศิษย์มากมายช่วงปลายยุคนี้เริ่มมีการออกอากาศลิเกทางวิทยุ

 

 

ยุคลิเกลูกบท

      อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนถึงช่วงภายหลังสงครามรวมเวลานานประมาณ ๑๐ ปี ลิเกในยุคนี้แต่งกายแบบสามัญคือ เสื้อคอกลมแขนสั้น โจงกระเบน มีผ้าคาดพุง คล้ายเครื่องแต่งกายของลำตัดในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงที่อยู่ในสภาวะขาดแคลน แต่การแสดงลิเกก็ยังเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง เนื้อเรื่องที่แสดงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ ซึ่งอาศัยพื้นฐานของบทละครนอกและละครพันทางอยู่มาก

ยุคลิเกเพชร 

      หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติก็มีการตกแต่งเครื่องแต่งกายลิเกตัวพระให้หรูหราอีกครั้งแต่มิได้กลับไปใช้รูปแบบลิเกทรงเครื่อง เริ่มต้นด้วยการสวมเสื้อกั๊กปักเพชรทับเสื้อคอกลม สวมสนับเพลา แล้วนุ่งผ้าโจงทับอย่างตัวพระของละครรำ สวมถุงน่องสีขาวเหมือนลิเกทรงเครื่องเอาแถบเพชรหรือ “เพชรหลา” มาทำสังเวียนคาดศีรษะประดับขนนกสีขาวของลิเกทรงเครื่อง คาดสะเอวเพชร แถบเชิงสนับเพลาเพชร ฯลฯ มาเป็นลำดับ ส่วนผ้านุ่งใช้ผ้าไหมที่นำเข้ามาจากเมืองจีนเพราะเนื้อแข็งนุ่งแล้วอยู่ทรงไม่ยับ สำหรับชุดลิเกตัวนางไม่ค่อยมีแบบแผนส่วนใหญ่เป็นชุดราตรียาวสมัยนิยมมีเครื่องประดับ เช่น มงกุฎ สายสร้อย กำไล ฯลฯ แต่ไม่หรูหราเท่าตัวพระการแสดงลิเกยุคนี้มีความหลากหลายเพราะพยายามนำการแสดงประเภทอื่น ๆ เข้ามาเสริมเพื่อให้การแสดงเป็นที่นิยมอยู่เสมอ เช่น เพลงลูกทุ่งยอดนิยม เพลงจากภาพยนตร์อินเดีย การเต้นอะโกโก้ การนำม้าขึ้นมาขี่รบกันบนเวที การทำฉากสามมิติให้ดูสมจริง เป็นต้น ลิเกได้มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์เป็นประจำ หนังสือพิมพ์ให้ความสนใจเสนอข่าวเรื่องลิเก โรงละครแห่งชาติให้การยอมรับและจัดให้มีการแสดงลิเกขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยคณะลิเกของนายสมศักดิ์ ภักดี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เริ่มขยายหน้าเวทีให้กว้างออกไปกว่าเดิมเกือบ ๒ เท่า

 

 

ยุคลิเกลอยฟ้า 

      เป็นยุคที่เวทีลิเกเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมที่มีเวทีดนตรีอยู่ทางขวาของผู้แสดงมาเป็นเวทีที่วางเครื่องดนตรีอยู่บนยกพื้นหลังเวทีการแสดงให้ผู้ชมได้เห็นวงดนตรีทั้งวงและได้ขยายขนาดเวทีการแสดงออกไปจากประมาณ ๖ เมตรเป็น ๑๒ เมตร แต่ไม่มีหลังคาจึงเรียกว่า ลิเกลอยฟ้า เครื่องแต่งกายตัวพระในยุคนี้เพิ่มเครื่องเพชรมากขึ้นคือ มีแผงประดับศีรษะเพชรแทนขนนกเสื้อรัดรูปปักเพชรที่เกิดขึ้นในปลายยุคลิเกเพชรก็เพิ่มจำนวนเพชรจนเต็มไปทั้งตัว ผ้านุ่งกลายเป็นแบบสำเร็จรูปปักเพชรทั้งผืน ส่วนเครื่องประดับต่าง ๆ ก็เพิ่มจำนวนเพชรขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมา เริ่มมีการนำเรื่องผู้ชนะสิบทิศ บทละครพันทางของอาจารย์เสรี หวังในธรรมซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในขณะนั้นมาแสดงเป็นลิเกและแต่งตัวแบบละครพันทางลิเกเป็นการแสดงเพื่อเลี้ยงชีพผู้ชมชอบอย่างไรก็แสดงอย่างนั้น ดังนั้นรูปแบบการแสดงลิเกในแต่ละยุคจึงมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาสิ่งที่คงอยู่คือ ปฏิภาณศิลป์ ที่ทำให้ลิเกยังคงมีความแปลกใหม่ สำหรับให้ความบันเทิงแก่คนในสังคมไทยตลอดไป


 
เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow