เรื่องและภาพ: ศรินทร เอี่ยมแฟง
เนื้อหาในวิชาสังคมตอนเด็กๆ มักกล่าวถึง “ช่องแคบมะละกา” ว่าเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางเรือของโลก ระหว่างตะวันตกและตะวันออก พ่อค้าจากอินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ จีน จะล่องเรือมาแลกเปลี่ยนสินค้ากันที่นี่ กระทั่งสลับกันเข้ามาครอบครองมะละกาเสียเลย เริ่มจากโปรตุเกส ฮอลันดา (ดัตช์) และอังกฤษ เมืองท่าเล็กๆ ใกล้เมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์เพียงสองชั่วโมงครึ่งแห่งนี้จึงมีวัฒนธรรมที่ผสมผสาน ความคลาสสิคของตึกทรงยุโรปและชิโนโปรตุกีส รถสามล้อประดับดอกไม้ หรือจะเป็นร้านรวงเก๋ๆ ริมน้ำล้วนสร้างบรรยากาศให้เมืองนี้โรแมนติกกว่าใครในมาเลเซีย
ทันทีที่รถขับเข้าสู่ถนนที่ปูด้วยอิฐบล็อกและรอบข้างเป็นอาคารสีแดง นั่นแสดงว่าเรากำลังอยู่ในเขตใจกลางเมืองมะละกาแล้ว ที่นี่เรียกว่า Dutch Square เป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสต์ทรงดัตช์อายุกว่า 260 ปี โดยชาวดัตช์ได้นำอิฐจากฮอลันดามาฉาบด้วยดินสีแดงเพื่อสร้างโบสถ์เป็นอนุสรณ์ในโอกาสที่ฮอลันดาปกครองเมืองมะละกามาครบ 100 ปี
เราสามารถเดินเท้าเที่ยวเขตเมืองเก่ามะละกาได้โดยรอบ หรืออยากประหยัดเวลาก็ลองนั่งรถสามล้อประดับดอกไม้มีเสียงเพลงคลอระหว่างชมเมือง ถ้าใครมาเป็นคู่ แนะนำให้ล่องเรือชมเมืองยามค่ำ สุดจะโรแมนติก
โบสถ์เซนต์พอล (St. Paul's church) ด้านบนของป้อมปราการ A’Famosa หรือ Porta De Santiago สร้างขึ้นโดย Duarte Coelho กัปตันชาวโปรตุเกส เมื่อปี 1521 เพื่อให้เป็นศาสนสถานของชาวโปรตุเกส แต่เมื่อชาวดัตช์ยึดครองมะละกาในปี 1641 และได้เปลี่ยนชื่อโบสถ์เป็น “เซนต์ พอล” ที่นี่จึงเปลี่ยนเป็นสุสานฝังศพของบุคคลสำคัญแทน
จากเนินเซนต์พอลมองเห็นวิวมุมสูงของเมืองมะละกาและหอคอยมะละกา บริเวณริมทะเลยังเห็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ มะละกาไม่หยุดเติบโตเพียงแค่นี้
ข้ามสะพานแม่น้ำมะละกาไปเป็นถนน Jonker street ถนนเส้นวัฒนธรรมจีนที่ยามค่ำคืนแสนคึกคักและเต็มไปด้วยร้านอาหาร ขนม ข้าวของที่ระลึก
ไม่ลองข้าวมันไก่ chicken rice balls ก็เหมือนมาไม่ถึงมะละกา ร้านจะขายแยกเป็นไก่หนึ่งจานและข้าวปั้นอีกกี่ลูกก็ว่าไป ข้าวปั้นลูกกลมใส่เครื่องเทศ รสชาติออกเค็มนิดๆ ทานพร้อมกับน้ำจิ้มพริกน้ำส้ม อร่อยชวนให้กลับไปอีก ส่วนของหวานยอดฮิตเป็นน้ำแข็งใส เรียกว่า iced Kacang คล้ายกับบ้านเรา ที่พิเศษคือมีแบบใส่ทุเรียนด้วย