ยกระดับด้านการศึกษาไทย ขับเคลื่อนการเรียนรู้ในรูปแบบใหม ตอบโจทย์การสร้างบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ และตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0
วันที่ 9 มีนาคม 2560 เวลา 9.00 น. ณ โรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท ได้มีการจัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรทางด้านสะเต็มศึกษา ภายใต้โครงการ Chevron Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต กับ 12 กลุ่มมหาวิทยาลัย สร้างเครือข่ายพัฒนา “คนต้นน้ำด้านการศึกษา” รูปแบบใหม่ โดยพัฒนาตั้งแต่ผู้บริหาร สถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครูพี่เลี้้ยง ครูประจำการ และครูฝึกสอน
โดยก่อนเริ่มทำพิธีการลงนามร่วมกันระหว่าง 12 กลุ่มมหาวิทยาลัย รศ.นพ. โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวถึงการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ ที่ถือเป็นความท้าทายของประเทศในการเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพด้านการศึกษาของประเทศ เพื่อพัฒนาทักษะของเด็กไทยให้ก้าวทันเทคโนโลยี คือหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ภาครัฐได้กำหนดไว้
การลงนามความร่วมมือร่วมมือระหว่าง 12 กลุ่มมหาวิทยาลัยกับโครงการ Chevron Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต ในครั้งนี้จึงถือเป็นการดำเนินตามแนวทาง “รัฐร่วมเอกชน” ของรัฐบาลและเป็นการวางรากฐานพัฒนาการศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับสะเต็มศึกษาที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวง
นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และ ดร.ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานสถาบันคีนันแห่งเอเชีย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงโครงการ Chevron Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต ที่ได้ร่วมมือกับ 12 กลุ่มมหาวิทยาลัยว่า “เป็นการร่วมมือกันระหว่างเชฟรอน คีนัน และภาครัฐ ซึ่งมี 7 หน่วยงานจาก 3 กระทรวงมาร่วมกันพัฒนาสะเต็มศึกษาในโรงเรียนสายสามัญ พัฒนาทักษะวิชาชีพสายอาชีวะศึกษา พร้อมกระตุ้นการตื่นรู้และแรงบันดาลใจในเรื่องของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นโครงการ 5 ปี โดยมีงบประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งก็จะช่วยรณรงค์ใน 3 องค์ประกอบที่กล่าวถึง หวังว่าในระยะยาวนี้โครงการที่ร่วมมือกันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยผ่านการศึกษาในรูปแบบสะเต็มศึกษา”
ความตั้งใจของโครงการนี้จะพยายามทำให้เรื่องของวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งที่ยาก เมื่อเรียนรู้แล้วก็จะมีความสนุก ในขณะเดียวกันก็จะเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเชิงวิทยาศาสตร์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนและการใช้ในชีวิตประจำวันได้ หลัก ๆ ระยะยาวก็จะเป็นการพัฒนาบุคลากร และมีความสามารถสูงขึ้น
ศูนย์สะเต็มมีทั้งหมด 12 แห่งทั่วประเทศไทย เราจำเป็นที่จะต้องให้ศูนย์สะเต็มอยู่ที่มหาวิทยาลัย เพราะประโยชน์ของมหาวิทยาลัย คือการผลิตบุคลากรครูอยู่แล้ว มันต้องมีการเริ่มต้นการบริหารจัดการถึงโรงเรียนด้วย การอบรมครู การส่งสื่อส่งเครื่องมือสื่อ มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ของการเรียนรู้ ศูนย์วิชาการ ในที่สุดเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บุคลากรอาจารย์มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้มีทักษะความรู้ด้านวิชาการที่จะทำอย่างต่อเนื่องไป หลังจากที่ครบ 5 ปี
นี่คือที่มาของการมีส่วนร่วมกันในมหาวิทยาลัย คือมี 12 ศูนย์จริง แต่จริง ๆ มี 14 มหาวิทยาลัย แล้วในโครงการครั้งนี้ยังจะมีการขยายผลอีก ไม่ได้ทำเพียงแค่ 14 มหาวิทยาลัยเท่านั้น หากมีมหาวิทยาลัยอื่นที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมด้วยก็ยิ่งดี จะได้เป็นศูนย์ช่วยบริหารจัดการทางด้านวิชาการกันต่อไป และจากนั้นก็จะมีผลงานทางการวิจัยออกมา ซึ่งจะเป็นการเผยแพร่ถึงวิธีการแก้ปัญหา วิธีการพัฒนาครู เพราะครูนั้นคือหัวใจหลักของการเรียนรู้เรื่องสะเต็มศึกษา