Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

เรื่อง (ไม่) ลับ ฉบับคุณช่า บันทึกของตุ๊ด

Posted By Plook Magazine | 10 ก.พ. 60
21,373 Views

  Favorite

 เรื่อง (ไม่) ลับ 
 ฉบับคุณช่า บันทึกของตุ๊ด 

 

 

คุณช่า บันทึกของตุ๊ด
คุณช่า บันทึกของตุ๊ด

 

เมื่อพูดถึงอุทาหรณ์สอนใจหญิงฉบับต่าง ๆ หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกันดีจากเพจดังอย่างบันทึกของตุ๊ดที่มีคนติดตามในหลักล้าน จนกลายเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กรวมเรื่องเล่าต่าง ๆ จากในเพจ และล่าสุดถูกนำเสนอในรูปแบบของซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมากจนต้องมีไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ 2 เรื่องราวที่เต็มไปด้วยมิตรภาพของกลุ่มเพื่อนสาว ซึ่งไม่ว่าจะนำเสนอในรูปแบบไหนก็ยังเต็มไปด้วยอรรถรสในการเล่าเรื่องแบบฉบับ คุณช่า บันทึกของตุ๊ด หรือ กัส-ธีร์ธวิต เศรฐไชย
 

คุณช่า บันทึกของตุ๊ด
Fanpage บันทึกของตุ๊ด


จุดเริ่มต้นของเพจบันทึกของตุ๊ด

เราเป็นคนชอบเขียนอะไรยุกยิก ๆ ตั้งแต่เราอยู่ประถมเราก็เริ่มเขียนการ์ตูนแล้ว เล่าเรื่องของเพื่อนในห้อง มาทำเป็นการ์ตูนช่อง พอม.ต้นก็เริ่มเขียนบทความประกวด เขียนนิยาย เรารู้สึกว่าเราชอบเขียน แต่เรารู้สึกว่ามันก็ไม่น่าเป็นอาชีพที่ไปได้ไกล พอเรียนจบแล้วมาเป็นกราฟิก ช่วงที่ทำงานเป็นกราฟิกเป็นช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 54 เราอยู่บางแคเป็นเขตแทบจะสุดท้ายเลยที่น้ำมา เพราะฉะนั้นจะรับข่าวสารเยอะมาก มันก็เกิดความอัดอั้น มาระบายลงเฟซบุ๊กเขียนเป็นไดอารี่ภาษาตุ๊ด ก็เฮ้ยสนุกดี มีคนเอาไปลงพันทิปแล้วก็มีคนชอบ เราก็รู้สึกว่าเปิดเพจดีกว่า คิดนานมากว่าชื่อเพจอะไรดี ตอนแรกคิดว่าบันทึกของกะเทยกลัวน้ำหรอ ถ้าเกิดตั้งอย่างนั้นนะวันนี้ก็ไม่มีบันทึกของตุ๊ดละ เราก็บันทึกของตุ๊ดละกันกว้าง ๆ เขียนเป็นไดอารี่รายวัน แล้วพอเสร็จช่วงน้ำท่วมเราก็ไม่มีอะไรจะเขียนเงียบไปเกือบปี วันหนึ่งเราก็เริ่มรู้สึกว่าเออมันยังมีพื้นที่อยู่นะ ตอนนั้นคนตามอยู่สองหมื่นกว่าไลก์ ไหนเราลองเล่าเรื่องเพื่อนเราดีกว่า หรือว่าอะไรที่เป็นประสบการณ์ของเรา ลองเล่าเรื่องแรกเกี่ยวกับตัวท็อปดู อุทาหรณ์สอนใจหญิงฉบับที่ 1 คนชอบว่ะ ยิ่งเขียนยิ่งยาวขึ้นเรื่อย ๆ ยาวแบบนี้ใครจะอ่าน เราเป็นสไตล์เขียนยาวเราชอบพรรณาลองก่อนละกัน อ่านไม่อ่านไม่เป็นไร มีคนอ่านว่ะ มันก็เลยกลายเป็นคอนเทนต์ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นคอนเทนต์แนวนี้อยู่ เราก็ยังเล่าเรื่องของเราเหมือนเดิม เราก็ยังดีใจที่คนไทยไม่ได้ไม่ชอบอ่านหนังสือ คืออะไรที่เขาโฟกัสได้ดีกว่า เขาจะโฟกัสตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องของตุ๊ดนี่อ่านแค่เรื่องเดียวมันก็เกินโควต้า 7 บรรทัดละ แต่เราก็รู้สึกว่าคนไทยไม่ได้อ่านน้อย เขาอยากอ่านเรื่องที่เขาสนใจมากกว่า

"เราว่ามันก็คือเพื่อนสาวของคุณ"


นิยามบันทึกของตุ๊ด
เราว่ามันก็คือเพื่อนสาวของคุณ นี่คือคำนิยามเลย คุณจะปรึกษาเรา คุยกับเรา เล่นหัวเรา ด่าเราและเรารู้สึกว่าเราแฮปปี้กับการที่เรารู้สึกว่าทุกคนเข้ามาแล้วรู้สึกว่าจอยกับเราในทุก ๆ คอนเทนต์ บางทีเราคุยอะไรสักเรื่องหนึ่ง แล้วเขาก็เล่าเรื่องตัวเองกันยาวมาก ก็นั่งอ่าน เอ้อ คนเราก็มีชีวิตมุมนี้นะ แล้วพอในคอมเมนต์ที่เขาเล่าก็จะมี reply เยอะ ๆ มันเหมือนคุยกันเองด้วย เราอ่านก็รู้สึกมันอบอุ่นดี เหมือนกับว่าเป็นคอมมิวนิตี้หนึ่งซึ่งคนก็มาคุยเรื่องต่าง ๆ กัน


สไตล์การเล่าเรื่องในเพจ
เราว่ามันเหมือนบทละครบทหนึ่ง อย่างตอนที่เอาเรื่องไปทำเป็นซีรีส์ซีซั่นแรก ตอนเขียนบทบางตอนนี่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ยกจากเพจลงไปแล้วทำเป็นบทละครได้เลย เรารู้สึกว่าเราถนัดแบบนี้มันคือการเล่าที่บทสนทนาต่าง ๆ ของเพือนเราด้วยของเราด้วย แล้วก็บรรยายทุกอย่างให้คนรู้สึกว่าคุณอยู่ตรงนั้น คุณสัมผัสได้ถึงบรรยากาศ อารมณ์ ทุกอย่างของตัวละครในเรื่อง ๆ หนึ่ง
 

คุณช่า บันทึกของตุ๊ด
Fanpage บันทึกของตุ๊ด

 

ความสำเร็จของพ็อกเก็ตบุ๊กบันทึกของตุ๊ด
จริง ๆ มันก็คือรวมเรื่องเล่าจากในเพจ แนวคิดของบก. เขาบอกว่าไม่อยากให้เรื่องอยู่แค่ในออนไลน์ เพราะยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้เล่นออนไลน์ แล้วเขาชอบฟีลของหนังสือ มันเก็บได้ เปิดอ่านได้ทุกที่ เราก็เห็นด้วยโอเคงั้นรวมเรื่องเล่าละกัน พยายามขมวดมาเป็นก้อน ๆ คนซื้อก็น่าจะเป็นคนในเพจ คนที่ยังไม่เคยอ่าน คนที่เขาอยากพกติดตัวมากกว่า
 

กว่าจะเป็นซีรีส์ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์
เรารู้สึกว่ามันต่างจากตอนเขียนหนังสือเลยแหละ นอกจากต้องทำงานร่วมกับคนอื่นแล้ว เราต้องคุยกับผู้กำกับ ฝ่ายศิลป์ กับฝ่ายต่าง ๆ ว่าบทนี้มันมีความเป็นไปได้หรือเปล่าที่จะทำเป็นภาพ บางตอนทำไม่ได้เลยเพราะว่า 18+ มาก บางตอนหยาบคายมาก ก็ต้องลดเลเวลลงมา บางตอนต้องเขียนใหม่เลยก็มี ด้วยความที่มันจะต้องออกสู่สายตาคนมาก ๆ ออกทีวี ถึงมันจะอยู่ในช่วงสี่ทุ่มครึ่งก็ตาม เพราะฉะนั้นต้องปรับให้มันเหมาะกับคนส่วนมากคือรวมถึงผู้ชายหรือผู้หญิงแท้ด้วยนะ โดยที่หนังตุ๊ดเราต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาดูแล้วไม่อึดอัด ซึ่งบทละครที่ไฟนอลแล้วต้องผ่านหลายส่วนมาก แล้วการผ่านแต่ละส่วนก็คือต้องแก้ทุกส่วน แก้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเหมาะสมซึ่งเราก็เชื่อใจ GDH นะ เขาก็พยายามทำให้มันออกมาดีที่สุด ซึ่งซีซั่นแรกก็ประสบความสำเร็จมาก


วิธีเลือกเนื้อเรื่องจากเพจมาเป็นซีรีส์
วิธีการทำงานแรกคือเอาเรื่องทุกเรื่องที่เราคิดว่ามาเป็นซีรีส์ได้ มาเขียนใส่กระดาษว่าแล้วค่อย ๆ เอาแต่ละเรื่องที่เป็นไปได้ที่จะอยู่ในตอนเดียวกัน แล้วก็เรียงตอน 1-12 ใหม่ ตอนแรกที่คิดจะทำเลย คุยกันพี่เขาแยกเป็นสองอย่างว่าโอเคทำเป็นซีรีส์เรื่องยาวเหมือนตอนซีซั่นหนึ่ง กับอีกแบบเหมือนให้เพื่อน ๆ มานั่งด้วยกันแล้วก็เล่าแต่ละเรื่องเล่าไปตัดภาพไป เรารู้สึกว่าทำแบบนั้นน่าจะไม่ได้ไกล ทำเป็นเรื่องยาวเลยดีกว่า พอเป็นเรื่องยาวปุ๊ปมันต้องมีเส้นเรื่องหนึ่งเส้นไว้ระหว่างนั้นต้องใส่เรื่องต่าง ๆ หรืออุทาหรณ์ต่าง ๆ ที่เราเคยเขียนลงไปในนั้นให้ได้ นั่นคือความยาก ทำยังไงก็ได้ให้มันสมูทไปทั้งหมด 12 ตอน นั่นคือขั้นตอนที่ยาก

 

ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ 2
ซีซั่นสองการทำงานจะเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง เนื่องจากเราใช้เรื่องเด่น ๆ ในเพจไปก็เยอะแล้ว แต่ส่วนใหญ่วิธีการทำงานของเขาจะเรียกช่า กอล์ฟ คิม แนตตี้ ไปที่ GDH แล้วนั่งคุยยาวมากหลายวันมาก เพื่อที่จะดูว่าเรามีมุมอื่นไหมที่อยากเล่าเกี่ยวกับชีวิตของเรา อะไรพอทำเป็นซีรีส์ได้ก็จดก็เขียนกัน เขียนเป็นเรื่องใหม่ เพราะฉะนั้นซีซั่นสองหลายตอนจะเป็นตอนที่คนดูยังไม่เคยรู้ ไม่เคยอ่านแม้จะเป็นแฟนเพจเองก็ตาม จะรู้สึกว่าเอ้ ทำไมฉันยังไม่เคยเห็นเรื่องนี้มุมนี้ของตัวละคร มันก็จะเป็นอีกมุมหนึ่งซึ่งดี
 

จากเพจ พ็อกเก็ตบุ๊ก จนมาเป็นซีรีส์ คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของบันทึกของตุ๊ด
เราว่ามันเป็นในเรื่องของเฟรนด์ชิปนะ คือมิตรภาพของเพื่อนและรู้สึกว่าเอาชีวิตของเราใส่เข้าไป เราพยายามทำให้มันดูจริงที่สุด และบุคลิกของเรา ไม่ว่าเราเองหรือเพื่อน ๆ สิ่งที่เราพยายามพรีเซ็นต์คือเราไม่ใช่ดารา เราไม่ใช่คนดัง เราคือเพื่อนคุณ ไม่ว่าเราจะเจอใครก็ตามจะยกมือไหว้ขอบคุณนะคะที่ติดตาม ไม่ว่าการสื่อสารอะไรของเราผ่านเพจหรือว่าผ่านซีรีส์เองก็ตาม เราจะพยายามคุมโทนว่านี่คือเพื่อนสาวเธอ เราไม่ใช่ดาราไม่ใช่เน็ตไอดอล เราคือเพื่อนสาวที่เข้าถึงได้ เพราะฉะนั้นช่าเชื่อว่าหลายคนเข้าถึงช่าได้ง่ายด้วยคำพูดคำจาหรือว่าบุคลิกอะไรก็ตาม มันถึงทำให้คนแบบว่าติดตามมาจนถึงทุกวันนี้

 

คุณช่า บันทึกของตุ๊ด
ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ 2

 

มีอุปสรรคหรือปัญหาอะไรในการเล่าเรื่องผ่านช่องทางต่าง ๆ ไหม
มีตัวเองนี่แหละ ที่ขี้เกียจเองด้วย อย่างปีที่ผ่านมาเราก็ยอมรับเลยว่าเราอัพเพจน้อยลง เพราะเราวุ่นวายกับเรื่องต่าง ๆ มาก ซึ่งมันมีงานหลายแบบมาก เพราะปีที่แล้วเป็นปีของซีรีส์ตั้งแต่ครึ่งปีหลังเราก็วุ่นวายซีรีส์ของเราเรื่องนั่นเรื่องนี่เราก็ไม่มีเวลาเขียนเพจ และอีกอย่างหนึ่งเรารู้สึกเลยว่าเราโตขึ้นปีนี้เราก็ 31 แล้ว ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว เราดูเด็กกว่านี้เยอะ ในมุมมองความคิดต่าง ๆ เพจก็เลยโตขึ้นตามวัยค่ะ ช่วงหลัง ๆ เราจะไปเล่าเกี่ยวกับอาม่าเรา พ่อแม่เราหรือว่าเพื่อนเราในบางมุมที่ทุกคนไม่เคยเห็นมากกว่า งานเขียนมันก็เลยจะดูผู้ใหญ่ขึ้น ดูเชิงสร้างสรรค์สังคมมากขึ้น ซึ่งเราก็งงเหมือนกันที่เขียนเรื่องพวกนี้ แต่เราเขียนแล้วเรามีความสุขนะ เรารู้สึกว่าเวลาเราเขียนเราทำให้คนคิดอะไรได้บางอย่างไม่ต้องตลกก็ได้หรือไม่ต้องหยาบคายแต่คนคิดอะไรได้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของเราแล้วเรารู้สึกว่าคนเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ นั่นคือเราเคลียร์แล้วกับบันทึกของตุ๊ดในตอนนี้

 

"เรารู้สึกว่าเวลาเราเขียนเราทำให้คนคิดอะไรได้บางอย่างไม่ต้องตลกก็ได้หรือไม่ต้องหยาบคาย แต่คนคิดอะไรได้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของเรา แล้วเรารู้สึกว่าคนเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ นั่นคือเราเคลียร์แล้วกับบันทึกของตุ๊ดในตอนนี้"
 

เรื่องที่แฟน ๆ เล่าให้ฟังแล้วประทับใจ
ตอนที่เล่าว่าเพื่อนเราคนหนึ่งกำลังจะไปทำแท้ง แล้วเรานั่งรถไปกับเพื่อนเราด้วย ไปกันสามคนเพื่อนผู้หญิงขับรถ พอไปถึงหน้าคลินิกแถวสุขุมวิทจำได้เลย แล้วเพื่อนก็บอกว่า นี่กูจะมาทำแท้ง เราไม่รู้เพื่อนเราก็ไม่รู้มาก่อน เพื่อนเราคนหลังโวยวายหนักมาก โวยวายว่าไม่อยากให้เพื่อนทำ แต่เราบอกว่าไม่เป็นไรอยากทำก็ทำไป แต่ต้องไปคุยกับคนหนึ่งก่อน เรากดสายให้นางโทรคุยกับแม่นาง เออนางก็คุยกับแม่ไป ตอนแรกนางไม่กล้าบอก นางถามแม่ว่าแม่เหนื่อยไหมที่เลี้ยงตัวเองมาแม่บอกว่าเหนื่อยอ่ะเหนื่อยแต่มีความสุขที่ได้เลี้ยงลูกคนนี้ แล้วนางก็เลยบอกแม่นางว่านางจะไปทำแท้ง นางท้อง แม่นางก็เลยบอกว่าไม่ต้องทำ หลานคนเดียวเลี้ยงได้ นางก็เลยเก็ทฟีลว่าโอเคมันก็คือลูกนาง นางไม่เอาออกจนตอนนี้ก็สองสามขวบละ

มีคนหนึ่งอ่านแล้วก็ message มาหาว่าตัวเองก็กำลังจะไปทำแท้งเหมือนกัน อ่านเรื่องนี้แล้วร้องไห้ แล้วคิดขึ้นได้ว่าไม่ทำดีกว่าก็เก็บเด็กเอาไว้ดีกว่า ตอนที่เขาอ่านก็ท้องได้ประมาณสองสามเดือน เราประทับใจมาก เรารู้สึกว่าเรื่องของเรามันทัชคนมาก บางสิ่งบางอย่างที่เราเขียนออกไปในเรื่องเล่า เรื่องสำคัญ ๆ อย่างเรื่องการทำแท้ง ซึ่งเราเป็นคนทันสมัยพอที่จะรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะมีสิทธิเลือกความพร้อมของตัวเองได้ แต่ว่าเราก็จะไม่สนับสนุนให้คนทำอยู่ดี ในการที่เราเขียนไปแบบนั้น เรารู้สึกว่าพอมันทัชคนที่กำลังคิดจะทำแล้วเขาไม่ได้ทำเพราะบทความนี้ มันคือเรื่องหนึ่งที่เราคิดว่าประสบความสำเร็จ มันไม่ได้เป็นเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟังว่ามันซึ้งมาก แต่ว่าเขาพูดมาคำเดียวว่าเออพี่อ่านบทความนี้ ตอนแรกพี่จะทำแท้ง แต่ตอนนี้พี่ไม่ทำ ตอนนี้ลูกพี่ใกล้คลอดแล้ว แล้วพี่ก็ตั้งชื่อลูกแล้วเรียบร้อย พี่เลี้ยงลูกคนเดียวได้ไม่มีปัญหา พ่อมันไม่อยู่แล้วไม่เป็นไร นี่คือเรื่องที่ประทับใจที่สุดของเรา
 

คุณช่า บันทึกของตุ๊ด
คุณช่า บันทึกของตุ๊ด


มุมมองความรักสำหรับคุณช่าคืออะไร
เรามีความรักหลายแบบนะ เราแบ่งพาร์ทชัดเจนระหว่างรักครอบครัว รักเพื่อน และก็รักสัตว์ ความรักคือการที่เราต้องรู้ข้อเสียของเขา และก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนแบบไหน แล้วก็อยู่กับเขาให้ได้นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในความรัก เพราะถ้าเรายอมรับในด้านที่แย่ที่สุดของเขาไม่ได้เราก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ ในทุกพาร์ทของความรักเลยรวมสัตว์เลี้ยงด้วย อย่างกอล์ฟ โดยพื้นฐานเป็นคนน่ารัก จิตใจดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นคนไม่ตรงต่อเวลา เป็นคนตื่นสาย ปลุกยากนี่คือข้อเสีย ถ้าเราไม่เข้าใจเราคงวีนเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะเราเป็นคนเป๊ะเรื่องเวลามาก อย่างเวลาที่ช่าจะนัดใครหรือว่าอะไรเราจะถึงก่อน แต่กับกอล์ฟจะอีกอย่างหนึ่ง แต่ส่วนนี้เราก็เข้าใจกันเอง นางเองก็จะปรับตัวให้เข้ากับเรา ถ้านางรู้สึกว่างานไหนงานเช้า แล้วนางไม่ตื่น ก็จะมานอนด้วยให้เราปลุก อันนี้ก็เป็นการปรับตัวของเพื่อน ต้องจูนเข้าหากัน นี่คือการรับข้อที่เข้ากันไม่ได้ของเราค่ะ


"ความรักคือการที่เราต้องรู้ข้อเสียของเขา
และก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนแบบไหน"

 

ความรักไม่จำกัดเพศ
เดี๋ยวนี้เรื่องเพศ เรื่องเซ็กส์มันก้าวกระโดดมาก มันกลายเป็นว่าเราเป็นอะไรก็ได้ เพศไหนเรารู้ตัวดีว่าเราเป็นตุ๊ดแต่แค่เรารักกับคนหนึ่งซึ่งเป็นใครก็ได้ เราแค่มีความรักมันทำได้หมดเลย ใคร ๆ ก็รักกับใครก็ได้ทั้งนั้นเลย พอเราเริ่มทำความเข้าใจกับแต่ละเพศ แต่ละความรักได้ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้เกิดความจำกัดเพศแล้วตอนนี้ มันคือเรื่องที่ว่าเรารักคนอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง
 

ความรักสำคัญแค่ไหน
มันสำคัญทุกบริบท ความรักเป็นจุดกำเนิดของการทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ใช่แค่รักคน รักในสิ่งที่ทำ ทุกสิ่งความรักมันจุดประกายให้เราทำอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วเรายังทำเพื่อคนที่เรารักด้วย บางคนทำงานไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ทำเพื่อเมีย ทำเพื่อลูก อย่างคุณพ่อของช่า ทำงานทุกวันเลย ทำงานเหนื่อยมากเลย เงินทั้งหมดอยู่ที่แม่ เงินทั้งหมดให้ลูกให้มาหมุนในบ้าน ตัวเองใช้เงินหนึ่งร้อยบาท ห้าสิบบาทบ้าง ห่อข้าวไปกินบ้าง เราเคยไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องทำขนาดนี้ พ่อก็มีเงินนะ นั่นคือความรักของเขาคือทำเพื่อคนในครอบครัว มันก็คือแรงขับเคลื่อนบางอย่างให้เขาทำอะไรเพื่อครอบครัวเขา ซึ่งตอนนี้เราเข้าใจแล้ว ทุกวันนี้เราก็ทำงานไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เราต้องผ่อนคอนโด เราต้องให้ตังค์แม่ เราต้องเลี้ยงแม่ อ่ะเดี๋ยวเดือนนี้แม่อยากทำนั่นทำนี่ เราก็ต้องทำให้แม่ นี่คือแรงขับเคลื่อนความรักของช่า
 

รักครั้งแรก
แฟนคนแรกตอน ม. 2 โหดมาก แฟนคนแรกชื่อพี่ต๋องจำได้เลยเป็นเด็กธรรมศาสตร์ เราอายุ 14-15 ปี นางอายุ 21 ปี ห่างกันเยอะมาก รักครั้งแรกเราว่าทุกคนก็เป็นแหละ มันคอนโทรลตัวเองไม่ได้เลยนะ เราถึงขั้นโดดเรียนไปหาเขาหรือว่าแค่เขาไม่รับโทรศัพท์บางทีเขาทำงานกลับดึก เราโทรไปตอนเช้าไม่รับ โทรไปถึงเที่ยงไม่รับ เฮ้ย ร้องไห้อ่ะ ที่ตู้โทรศัพท์ในโรงเรียน ยืนร้องไห้อยู่คนเดียวว่าทำไมเขาไม่รับสายเรา พอเขารับปุ๊ปเราก็ร้องไห้ คือเขาแค่นอน ซึ่งถ้าเป็นเราตอนนี้โทรไปแล้วเขาไม่รับ เราก็แค่ปล่อยไปรอให้เขาโทรกลับ อันนี้มันเป็นวิวัฒนาการของความรักเลย ประสบการณ์ของเรายิ่งโตขึ้น ทำให้เราเข้าใจ แล้วรักในวัยเรียนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้หมดเลย เราเข้าใจเลยว่าเพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องความรัก พอเขามีรักครั้งแรกเขาจะรู้สึกว่าคนนี้จะคบยันตายซึ่งเป็นไปไม่ได้
 

คุณช่า บันทึกของตุ๊ด
คุณช่า บันทึกของตุ๊ด


เด็กวัยรุ่นที่ชอบรักแล้วต้องแชร์ให้โลกรู้
มันมีอยู่สองแบบ ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ถ่ายรูปน่ารักกุ๊กกิ๊ก ถ่ายคลิปอะไรว่าไปไม่ผิดเลย ใคร ๆ ก็อวดผัวอวดเมียได้ ไม่มีปัญหา เวลามีความรักเราก็อยากบอกให้โลกรู้ แต่จะมีประเภทหนึ่งซึ่งก้าวผ่านคำว่าน่ารักไปแล้ว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับแทบจะร่วมเพศอยู่แล้ว มันก็ไม่เหมาะสม คือเรื่องพวกนี้คนเรามันมีจิตสำนึกมันรู้อยู่แล้วว่าอะไรที่มันพอดีหรือว่าเกินไป อะไรที่มันพอดีมันก็คือความพอดี ไม่มีปัญหาอาจจะมีคนหมั่นไส้เล็ก ๆ น้อย นั่นก็เป็นเป็นปัญหาของเขา แต่ถ้าคุณทำอะไรเกินไปคุณก็ต้องยอมรับผลของมัน มันต้องมีกระแสหรือว่าอะไรที่ทำให้คุณถูกมองว่าไม่ดี

บางคนยังเด็กก็ไม่เก็ทว่ามันทำไมก็คนมีความรัก แต่ถ้าเราโตขึ้นก็จะรู้ว่าโลกไม่ได้มีเราอยู่แค่สองคนยังมีหน่วยอื่น ๆ ด้วยที่เราต้องแคร์ พ่อแม่ หน้าที่การงานในอนาคต เราไม่รู้เลยว่าในอนาคตต้องทำงานที่ไหนกับใครอะไรยังไง หรือว่าต้องมีอนาคตกับใคร เพราะฉะนั้นเรื่องที่มีอยู่ในโซเชียลแล้วมันไม่มีวันหายไป เราต้องแคร์ว่าทุกอย่างที่ปล่อยออกไปมันมีผลต่ออนาคต

 

"เพราะฉะนั้นเรื่องที่มีอยู่ในโซเชียลแล้วมันไม่มีวันหายไป

เราต้องแคร์ว่าทุกอย่างที่ปล่อยออกไปมันมีผลต่ออนาคต"


สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังมีความรักในวัยเรียน
ไม่แปลกไม่ผิดเลย แต่ว่ามันก็เรื่องของการระวังตัวนะคะ เรื่องเซ็กส์ในวัยเรียนก็เป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้หรอกนะ จริง ๆ เราก็เป็นคนรุ่นใหม่ สังคมรุ่นใหม่ สมมติถ้าเรามีลูกเองเราก็จะบอกลูกเราว่า โอเคเรื่องความรักเราคงไม่ห้ามเขา เรารู้สึกว่าการที่เราเข้าใจเขาบอกเขาว่าทำทุกอย่างอยู่ในที่แจ้ง แล้วบอกเขาถึงข้อดีข้อเสียของการมีแฟนของรักในวัยเรียน หรือแม้กระทั่งเราควรจะมีอะไรป้องกันบ้าง เรื่องโรค เรื่องท้องในวัยเรียนคือสองสิ่งที่อยากให้ป้องกันไว้ ก็อยากให้น้อง ๆ ในวัยเรียนลองศึกษาเรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้นมีความรักก็มีไปเลยประสบการณ์จะสอนเราเองว่าพอเรามีความรักตอนนี้ช่วงนี้กับอีกช่วงหนึ่งมันต่างกัน ถ้าเด็กมีแฟนก็บอกให้มี แต่เราแค่เตือนว่ามีแฟนนะ ต้องพากันไปเรียนนะ ต้องป้องกันนะ เราว่านี่คือสิ่งที่เราหรือว่าผู้ปกครองควรจะสอนเด็กมากกว่า ไม่ใช่ว่าไปห้ามทุกอย่าง สุดท้ายถ้าห้ามแล้วแอบทำแล้วมันทำไม่ถูกวิธี หรือว่าไม่ได้รับการป้องกันก็เกิดปัญหา
 

ณ วันนี้คุณกัสมองว่าตัวเองเป็นเน็ตไอดอลไหม
ไม่เคยใช้คำนี้เลย เกลียดคำนี้ด้วย คือเน็ตไอดอลโดยพื้นฐานแล้ว ถ้าเราย้อนไปเกือบสิบปีเป็นความหมายที่ดีมาก มันทำให้เรานึกถึงเบเบ้ นึกถึงบอลลูน แต่พอมันนานวันเข้าคำนี้มันถูกใช้ ไม่รู้เพราะว่ามันผ่านสื่อด้วย ผ่านความรู้สึกของคนในโซเชียลด้วย พอเรียกว่าเน็ตไอดอลเรารู้สึกเหมือนคำในแง่ลบ เพราะฉะนั้นเราก็บอกจุดยืนตั้งแต่แรกเลยว่าโดยส่วนตัวเรา ใครจะรู้สึกว่าเราเป็นยังไงก็ตาม แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีหลาย ๆ ด้าน เราเป็นคนหยาบคายมากเลย ไม่ว่าจะเป็นในเฟซบุ๊กส่วนตัว เรามีมุมมองบางอย่างที่เรื่องนี้ไม่ได้อ่ะ เราเกลียดเด็กเพราะฉะนั้นพ่อแม่เด็กจะไม่ค่อยแฮปปี้เวลาเราด่าเด็ก เราเกลียดแมว แต่เรารักหมา คือเราชัดเจนในทุก ๆ สิ่งของเราว่าเราเป็นคนแบบไหน และบางอย่างเรายอมรับเลยว่าเด็กไม่ควรเอาอย่างเรา เราอวดผัว เรามีแฟน แล้วเราสามารถพูดเรื่องเพศสัมพันธ์ในหน้า wall ได้อย่างโจ๋งครึ่มมาก เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีพร้อม สำหรับคำว่าเน็ตไอดอล ถ้าเกิดว่าเน็ตไอดอลยังเป็นคำที่ดีอยู่ เราก็ไม่เหมาะกับคำนี้อยู่ดี เพราะเรารู้สึกว่าเราแค่แสดงทัศนคติส่วนตัวมากกว่าว่าเราเป็นคนยังไง เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากจริง ๆ ที่คนที่ติดตามเราส่วนใหญ่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้ แล้วบางเรื่องบางอย่างที่เราแสดงความคิดเห็นออกไปเขาดันรู้สึกว่า เรื่องนี้คุณช่าพูดแบบนี้ ช่าว่ามันโอเคนะ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าเรารับผิดชอบตัวเองด้วยเวลาเราพูดอะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้นเวลาเราจะพิมพ์จะเขียนอะไรมันต้องคิดหนักมาก บางทีเราต้องคุยกับเพื่อนหรือว่าแฟนเราก็ตามว่าเรื่องนี้ ๆ ตรรกะกูผิดป่ะวะ เพราะถ้ามันผิดปุ๊ป มันถูกถ่ายทอดไปหาคนอื่นปุ๊ป ถ้าเขาคิดว่าอ้าวก็คุณช่าพูดแบบนี้ ถ้าเขาประมวลว่าโอเคเขาอาจจะไม่ได้เชื่อเราร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่เขายกตัวอย่างขึ้นมาพูดว่าคุณช่าพูดแบบนี้ ถ้าชุดตรรกะเราไม่ถูกมันก็ไม่ดีเพราะฉะนั้นมันทำให้เราระวังตัวมากขึ้นในการเขียนเรื่องอะไร
 

สมมติว่าถ้าวันนั้นไม่มีเฟซบุ๊กคิดว่าในตอนนี้เราทำอะไรอยู่
เป็นกราฟิกมั้ง เพราะมันเปลี่ยนชีวิตเรามากเลยนะ แต่ก่อนเราเป็นกราฟิกดีไซน์ ตอนนั้นก็ถือว่าก็ชิล ๆ ได้ตามปกติ เขียนเพจได้หนึ่งปี ก็ลาออกมาทำหนังสือเป็นเรื่องเป็นราว เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหาเลี้ยงเราได้หรือเปล่า ทุกวันนี้มันเติมเต็มความฝันของเราทุกอย่างแล้ว ช่าเชื่อว่าคนเขียนนิยาย คนเขียนเรื่องเล่าสิ่งที่เขาอยากเห็นคืออยากให้มันออกมาเป็นภาพโดยคนอื่นคือภาพในหัวเรามันมีอยู่แล้ว พอเป็นหนังสือมันคือความสำเร็จที่ดีที่สุดของชีวิตเราแล้ว อ้าวมันยังมาเป็นซีรีส์อีกว่ะ วันแรกที่ซีรีส์ออกจำได้ว่าเรานั่งดูกับกอล์ฟที่ทะเล นั่งดูแล้วเราก็ถอนหายใจกันแบบว่า มากันได้ขนาดนี้ได้ไง มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มาก มันดีจังวะ เราผ่านมาไกลได้ขนาดนี้ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในด้านจิตใจแล้ว เต็มที่ละที่เหลือคือกำไร จนทุกวันนี้มันคือจุดอิ่มในชีวิตแบบสมมติเกิดมาครั้งหนึ่งแล้ว เราถึงจุดที่นั่งมองซีรีส์ของตัวเองประสบความสำเร็จ ได้มองตัวเองตอนออกรายการ ได้มองคนที่เขามองเพจเรา มองลูกเพจเราที่เข้ามาคอมเมนท์หรืออะไร แล้วเราสามารถหาเงินได้จากสิ่งที่เราทำ นั่นคือชีวิตเราเกิดมาครั้งนี้คือคอมพลีทละ
 

ผ่านมาหลายบทบาทแบบไหนที่ชอบมากที่สุด
จริง ๆ บทบาทที่เราชอบมากที่สุด มีอีกงานหนึ่งที่เราทำบ่อยมาก คือทำไวรัลคลิป เกี่ยวกับโฆษณา แต่ว่าเราทำเองตั้งแต่เขียนบท แล้วก็เข้าโปรดักชัน โปรดักชันเราก็ไปจ้างโจ้ แทรชเชอร์ คุยกันตั้งแต่คอนเซปต์ ธีม และแสดงเองด้วย แล้วบทบาทที่เราชอบมากที่สุดคือเราได้แสดงกับเพื่อน ๆ ได้แสดงบทที่ตัวเองเขียนเอง นั่นคือบทบาทที่เรารู้สึกว่าเราแฮปปี้ แล้วเรารู้สึกดีมากที่เห็นวิดีโอออกมาจากฝีมือของเราเอง เพราะฉะนั้นเราตีความได้เลยว่า สิ่งที่ดีนอกจากการเขียนคือการโปรดิวซ์ทุกอย่าง อิมโพรไวซ์ทุกอย่างออกมา แล้วออกมาเป็นผลงานหนึ่ง ซึ่งเราทำเองนั่นแหละคือสิ่งที่เราแฮปปี้
 

ยังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม
คงอยากทำโปรดักชั่นเป็นของตัวเอง อยากเขียนบท อยากมีทีมซึ่งเป็นทีมที่เราไว้ใจได้ในการับทำไวรัลต่าง ๆ ไม่ต้องแสดงเองก็ได้ แต่ว่าใช้โปรดักชั่นของตัวเอง เราแฮปปี้กับการอยู่เบื้องหลังนะ แต่ว่าพอเป็นพาร์ทเบื้องหน้าเราว่ามันก็สนุกดีและก็ทำได้ดี เราว่าสิ่งที่เราต้องผันตัวเองต่อไปก็คือในด้านโปรดักชั่นในด้านการบันเทิงนั่นแหละที่เราจะไปต่อ

 

 

เรื่องและภาพ : กัลยาณี แนวเล็ก

 

นิตยสาร plook
นิตยสาร plook

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Magazine
  • 3 Followers
  • Follow