ในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอน เพียงแต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แล้วทำให้ต่อมน้ำเหลืองในลำไส้เล็กส่วนปลายโตขึ้น เป็นจุดนำให้ลำไส้เล็กมุดเข้าไปในโพรงลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการอุดตันและการขาดเลือดของลำไส้ส่วนที่ถูกกลืน
1. เด็กจะมีอาการปวดท้อง กระสับกระส่าย มือเท้าเกร็ง ตัวซีด เหงื่อออกตามร่างกาย
2. ร้องไห้เป็นพัก ๆ ประมาณ 15 - 30 นาที แล้วก็จะเริ่มเริ่มร้องอีก โดยเวลาที่ร้องไห้เด็กจะงอเข่าขึ้นทั้งสองข้าง
3. มีอาการท้องอืดและอาเจียน ระยะแรกสิ่งที่อาเจียนจะเป็นนมหรืออาหารที่ลูกกินเข้าไป แต่ระยะหลังจะมีสีเหลืองหรือเขียวของน้ำดีปน
4. อุจจาระมีเลือดคล้ำ ๆ ปนเมือก
5. ในบางรายอาจจะมีอาการซึมหรือชักร่วมด้วย และประมาณร้อยละ 50 – 70 ของผู้ป่วย จะคลำเจอก้อนในท้อง
เมื่อคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกมีอาการร้องกวนมากผิดปกติ บวกกับเด็กมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย ซึ่งการวินิจฉัยโรคลำไส้กลืนกันมี 2 วิธี คือ การทำอัลตราซาวน์ (Ultrasound) และการตรวจด้วยการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยสารทึบรังสี (Barium Enema) หากพบภาวะลำไส้กลืนกันเด็กจำเป็นต้องถูกรักษาตัวในโรงพยาบาล งดน้ำและอาหาร โดยจะได้รับแต่น้ำเกลือแร่ และยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด รวมทั้งใส่สายสวนทางจมูกเข้าไปในกระเพาะอาหาร เพื่อระบายลมและอาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร
สามารถทำการรักษาได้ 2 วิธีคือ
โดยการใช้แรงดันผ่านทางทวารหนัก ซึ่งอาจจะใช้การสวนด้วยสารทึบรังสีหรือใช้ลมเป็นตัวดัน หรือใช้แป้งสวนโดยรังสีแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อให้ส่วนที่ม้วนตัวนั้นยืดคลายออกมาเป็นปกติ ถ้าสำเร็จ ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เด็กส่วนใหญ่ก็จะสามารถรับประทานอาหารได้ภายใน 1 - 2 วัน และสามารถกลับบ้านได้ภายใน 2 - 3 วัน แต่หากมีลำไส้กลืนกันมาเป็นเวลานานกว่า 48 ชั่วโมง จนมีการเน่าตายของลำไส้จากการขาดเลือด หรือใช้วิธีการรักษาโดยดันลำไส้แล้วแต่ไม่สำเร็จ คุณหมอจะทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดต่อไป
คุณหมอจะใช้มือบีบดันให้ลำไส้ส่วนที่กลืนกันคลายตัวออกจากกัน แต่ถ้าอาการรุนแรงถึงขั้นมีการเน่าตาย หรือมีการแตกทะลุของลำไส้แล้วก็จำเป็นต้องตัดลำไส้ส่วนที่เน่าตายออกและทำการต่อลำไส้ส่วนที่ดีเข้าหากัน ซึ่งวิธีการนี้ อาจใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าวิธีดันลำไส้ แต่ในที่สุดแล้วเด็กก็จะสามารถกลับมากินอาหารได้ตามปกติหลังจากนั้นภายใน 3 - 5 วัน