เด็กน้อยคนนึงที่อยู่ในฐานะครอบครัวที่ร่ำรวย และได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมีผลการศึกษาเกรดเฉลี่ยที่สูงได้รับโอกาสในการเข้าเรียนในสถาบันเอกชนเก่าแก่ชื่อดังในประเทศอังกฤษได้ และยิ่งไปกว่านั้นสามารถสอบ “ จีซีเอสอี ( GCSE ) ” เปรียบเสมือนคล้าย ๆ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย วิชาภาษาละตินได้เกรดเอเลยทีเดียว
ผมกำลังพูดถึงตำนานที่ยังมีลมหายใจที่พึ่งประกาศเลิกเล่นฟุตบอล นำสตั๊ดขึ้นไปแขวนบนหิ้งเรียบร้อยแล้วอย่าง “ แฟร้งค์ แลมพาร์ด “
ครั้งนึง “ ซุปเปอร์แฟร้งค์ “ ถูกกองเชียร์เวสแฮมและคนภายนอกดูถูกว่าเป็นเด็กเส้นโดยอิทธิพลของคุณพ่อที่เป็นผู้ช่วยกุนซืออยู่ในสมัยนั้น คุณพ่อของแลมพาร์ดเป็นอดีตนักฟุตบอลชื่อดังชองเวสแฮมเอง ( ลงเล่น 551 นัด ยิง 18 ประตู )
โดยแลมพาร์ดใช้เวลาในการอยู่ชุดเยาวชของเวสแฮมเพียงปีเดียวเท่านั้นก่อนถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่โดยมีแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เป็นผู้จัดการทีมในตอนนั้น คำครหาของเด็กคนนี้มีหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะพอดีนอกจากคุณพ่อเป็นผู้ช่วยโค้ชแล้ว เร้ดแนปป์เองก็เป็นคุณลุงของตัวเขาด้วย จึงทำให้คำครหาค่อนข้างรุนแรงเป็นทวีคูณ
และด้วยวัยเพียง 17 ปี แลมพาร์ดถูกปล่อยลงสนามกับเวสแฮมเป็นครั้งแรกในนัดที่พบกับ โคเวนทรี ซิตี้ ด้วยเป็นการสตาร์ทจากตัวสำรองแทน “ จอห์น มองเคอร์ ” ก่อนถูกปล่อยไปให้สวอนซียืมตัวไปใช้งาน ก่อนกลับมาเป็นตัวหลักกับเวสแฮมด้วยการลงรับใช้ต้นสังกัดถึง 148 นัด พ่วงด้วย 24 ประตู
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2001 เชลซีได้ยื่นสัญญาและค่าตัวให้กับเด็กหนุ่มวัย 23 ปีเป็นจำนวนเงินถึง 11 ล้านปอนด์เป็นเส้นทางที่เจ้าตัวได้ก้าวเดินครั้งใหม่
และต่อจากนี้ทุกฝีก้าวคือ “ ตำนาน ”
แชมป์พรีเมียร์ ลีก : 3 สมัย ( 2004–05 , 2005-06 , 2009-10 )
แชมป์เอฟเอคัพ อังกฤษ : 4 สมัย ( 2006-07 , 2008-09 , 2009-10 , 2011-12 )
แชมป์ลีก คัพ อังกฤษ : 2 สมัย ( 2004-05 , 2006-07 )
แชมป์คอมมูลิตี้ ชิลล์ อังกฤษ : 2 สมัย ( 2005 , 2009 )
แชมป์ยูเอฟ่าแชมเปี้ยนลีก : 1 สมัย ( 2011-12 )
แชมป์ยูโรป้าลีก : 1 สมัย ( 2012-13 )
ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะสามารถคว้าแชมป์รายการเมเจอร์ใหญ่ ๆ เข้าร่วมการแข่งขันได้หมด แค่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะนำแฟร้งค์ แลมพาร์ด ขึ้นหิ้งเป็นตำนานของทั้งสโมสรเชลซีและทีมชาติอังกฤษ โดยไม่มีเสียงไหนกล้าคัดค้าน นอกจากโทรฟี่ที่ประสบความสำเร็จกับ สิงโตน้ำเงินครามแล้ว สถิติดาวซัลโวสูงสุดประจำสโมสรกองกลางผู้นี้ก็ยึดสัมปทานแล้วเรียบร้อยด้วยจำนวน 211 ประตู
โดยตำแหน่งไม่ใช่กองหน้า
แต่คือกองกลางที่ยิงประตูให้มากที่สุดของสโมสรชั้นนำของโลกอย่าง “ เชลซี “
กองกลางที่มีพรสวรรค์ด้านการจบสกอร์ นี่คือคุณสมบัติติดตัวกองกลางผู้นี้
หลังจากออกจากเชลซีแลมพาร์ด ได้ไปปิดท้ายชีวิตค้าแข้งที่เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ด้วยความที่สโมสรนิวยอร์ก ซิตี้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้คือเจ้าของเจ้าเดียวกันเลยทำให้มีการยืมตัวระหว่างสโมสร แลมพาร์ดเลยต้องกลับมาอังกฤษอีกครั้งกับสโมสรในเมืองแมนเชสเตอร์ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวไม่เคยคิดเล่นให้สโมสรอื่นอีกแล้วในเกาะอังกฤษ
แต่ด้วยความดราม่าบนโลกใบนี้ ตามโปรแกรมแลมพาร์ดต้องมีเจอกับอดีตสโมสรที่ตัวเขาสร้างชื่อ และเป็นตำนานอยู่ที่นั่น เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 78 ขณะที่เชลซีนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือแมน ซิตี้ส่ง “ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ” ลงสนาม
และนาทีที่ 85 เป็นวินาทีที่บาดลึกหัวใจของแลมพาร์ดมากที่สุดครั้งนึง คือการยิงประตูเชลซี ไม่มีการดีใจเกิดขึ้น ไม่มีสีหน้าที่ที่ยินดี ภายใต้ใบหน้าของเขาข้างในคงเจ็บปวดถึงที่สุด แต่เมื่ออยู่ในสนามด้วยความเป็นมืออาชีพที่คือสิ่งที่ต้องทำ
2 กุมภาพันธ์ 2560 แฟร้งค์ แลมพาร์ดประกาศยุติชีวิตค้าแข้งด้วยวัย 38 ปี ทิ้งร่องรอยความสำเร็จ และก้าวย่างบนโลกลูกหนังในฐานะนักฟุตบอลแต่เพียงเท่านี้
จากเด็กที่ถูก ปรามาศว่าเป็น ” เด็กเส้น ” ค่อย ๆ ลบเสียงนกเสียงกาด้วยฝีเท้าของตัวเอง จนก้าวมาเป็นตำนานของวงการฟุตบอลทั้งระดับทีมชาติและสโมสร