จากการศึกษาค้นคว้าต่างๆทำให้มีหลักฐานเชื่อว่าภาษาพูดแรกเกิดขึ้นในโลกเมื่อประมาณ 7,000 ปีมาแล้วโดยชนเผ่ามายัน และได้รับการพัฒนามาเรื่อย ๆ ทำให้ในศตวรรษที่ 70 มีคำศัพท์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น "แบบว่า" หรือ "เอาจริงดิ"
เมื่อคุณต้องเป็นผู้นำการประชุมต่าง ๆ หรือนำเสนอขายงานให้กับลูกค้ารายใหญ่ หรือกล่าวคำปราศัยต่อหน้าพูดฟังจำนวนมาก คำพูดที่ไม่ได้กลั่นกรองมาอย่างดีอาจเป็นตัวบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือที่คุณมี และทำให้ผู้ฟังตีความคำพูดของคุณเพี้ยนไปจากความต้องการที่แท้จริง หากอยากให้การสื่อสารของคุณสื่อออกไปได้อย่างตรงตัวและมีเสน่ห์ดึงดูดต่อคู่สนทนาควรลองหันมาลด ละ เลิก วลีติดปากต่อไปนี้
แทนที่จะปัดความผิดไปให้คนอื่น และเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานไว้ ควรเลี่ยงมาใช้ประโยคที่ว่า "คุณเข้าใจว่ายังไง อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม"
พูดขอร้องผู้อื่นโดยการให้เหตุผลที่ชัดเจน ตัดคำพูดที่เป็นประโยคคำสั่งทิ้งไป
คำว่า "ก็แบบว่า..." ทำให้ความหมายในคำพูดของคุณคลุมเครือ ไม่น่าเชื่อถือ
ระมัดระวังการพูดคำเสริมประโยคเหล่านี้ และควรฝึกการเว้นระยะในการพูดให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ผู้รับสารเกิดการสับสนในการรับฟังข้อมูลจากคุณ
คำแก้ตัวฟังแล้วน่าเบื่อหน่ายไม่สบอารมณ์ ลองเปลี่ยนมาพูดว่า "ขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้ต้องลำบากนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบส่งอีเมล์ไปให้ด่วนที่สุดเลย"
เลิกพูดได้แล้ว คำพูดเกร่อ ๆ ซ้ำซากที่หนีไม่พ้น ฟังแล้วน่าเบื่อจริง ๆ
คำพูดกว้าง ๆ คลุมเครือ ขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้งพอ เป็นสิ่งปิดกั้นบทสนทนาที่มีคุณภาพ คุณควรพูดด้วยความรู้สึกที่ตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงการตำหนิที่กำกวม
คำแนะนำที่ขาดความชัดเจน ไม่แน่ใจ หรือกริยาท่าทางที่ลังเล ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือในตัวคุณลดลงอย่างน่าใจหาย ดังนั้นควรให้คำแนะนำที่เชื่อถือได้ และพิสูจน์ให้เห็นจริงต่อผู้อื่น
พยายามเลิกแฝงความรู้สึกดี ๆ ลงในคำวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หรือเลิกพูดสิ่งที่หาคุณค่าสาระอะไรไม่ได้ไปเลยดีที่สุด
ฟังแล้วเหมือนเป็นคำพูดตัดพ้อของพวกขี้แพ้ พยายามเปลี่ยนคำพูดติดปากให้เป็นคำแนะนำดี ๆ ที่น่่าสนใจแทนจะดีกว่า