Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ต่อมทอนซิลอักเสบ ตัดทิ้งเลยดีไหม?

Posted By Plook Panya | 16 ก.ย. 58
4,834 Views

  Favorite

 

ต่อมทอนซิลอักเสบ นับเป็นหนึ่งในอาการยอดฮิต ที่คอยกวนใจใครหลายๆ คนอยู่บ่อยๆ บางคนถือเอาโรคนี้เป็นโรคประจำตัว เพราะเป็นๆ หายๆ อยู่ตลอดไม่เคยห่างกันนาน จนกระทั่งมีการอักเสบมากเข้า บ่อยเข้า แพทย์ก็แนะนำให้ผ่าตัดเอาต่อมเจ้าปัญหานี้ออกไปซะเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีปัญหากับการกินยาฉีดยารักษากันอยู่ร่ำไป
 
ฟังดูก็ง่ายดี เมื่อมีปัญหามากๆ ก็ตัดทิ้งให้หมดเรื่อง แต่…
ต่อมทอนซิล เป็นอวัยวะเจ้าปัญหา ที่ไม่ควรมีอยู่ในร่างกายจริงหรือ?
แล้วอย่างนี้ ธรรมชาติจะสร้างต่อมเจ้าปัญหานี้มาไว้ทำไม?
ที่จริงแล้ว เจ้าต่อมทอนซิลนี้มีหน้าที่อะไร มีหรือไม่มีจะดีกว่ากัน?



ภาพ : shutterstock.com


ต่อมทอนซิลคืออะไร มีไว้ทำไม?

ต่อมทอนซิล คือ หนึ่งในอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งผลิตน้ำเหลืองในระบบไหลเวียนน้ำเหลือง ระบบซึ่งทำหน้าที่โดยตรงในการปกป้องร่างกายจากเชื้อก่อโรคนานาชนิด และเมื่อกล่าวถึงระบบน้ำเหลืองแล้ว เราจะขออธิบายให้เห็นถึงภาพรวมของระบบคร่าวๆ ดังนี้

ระบบไหลเวียนน้ำเหลือง มีหน้าที่โดยตรงในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค คอยดักจับและทำลายเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย และสร้างภูมิคุ้มกัน ถือเป็นส่วนหนึ่งในระบบไหลเวียนโลหิต การไหลเวียนของน้ำเหลืองจะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแรงดันและการไหลเวียนเลือดเป็นสำคัญ

น้ำเหลืองที่ไหลเวียนในร่างกายของเรานั้น จะถูกผลิตโดย ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ต่อมไทมัส และ ต่อมทอนซิล ภายในของเหลวใสๆ ที่เรียกว่า น้ำเหลือง จะประกอบด้วย เม็ดเลือดขาว และ แอนติบอดี้ คู่ซี้ที่มีหน้าที่คอยดักจับทำลายเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมต่างๆ สร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ เช่น กลูโคส วิตามิน เซลล์ที่ถูกทำลายแล้ว เป็นต้น
 

ต่อมทอนซิล ถือเป็นอวัยวะสำคัญที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้ เพื่อป้องกันตัวเราจากโรคภัยไข้เจ็บ คอยกลั่นกรองกำจัดสารที่เป็นพิษ สร้างเม็ดเลือดขาวไว้ดักจับกินเชื้อก่อโรค เป็นด่านหน้าที่จะคอยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคที่ผ่านเข้าในทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ



ที่มาของภาพ : thearokaya.co.th


ทอนซิลอักเสบบ่อยๆ ตัดทิ้งเสียเลยดีไหม?

เมื่อเกิดอาการต่อมทอนซิลอักเสบ นั่นหมายความว่าร่างกายได้รับเชื้อโรคมาก หรือมีเชื้อก่อโรคมาก ต่อมทอนซิลต้องทำงานอย่างหนัก แน่นอนว่าอาจเกิดอาการผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น อาการไข้ ตัวร้อน เจ็บคอ ซึ่งนับเป็นความสามารถของกลไกการขับพิษตามธรรมชาติ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการป้องกันและกำจัดเชื้อโรค ซึ่งตามปกติแล้ว อาการต่อมทอนซิลอักเสบ มักจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง สามารถหายได้เองภายใน 7 – 10 วัน

แต่คนส่วนใหญ่ มักไม่อดทนยอมรับกับกลไกธรรมชาตินี้ และมักทานยากดภูมิคุ้มกันทุกครั้งที่มีอาการ จนระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติเสียสมดุล และอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนสุดท้าย ก็ได้โรคต่อมทอนซิลอักเสบมาเป็นโรคประจำตัว เมื่อเป็นบ่อยเข้า แพทย์ก็อาจจะแนะนำให้ผ่าตัดต่อมเจ้าปัญหานี้ทิ้งเสีย จะได้หมดเรื่องหมดราวไป ต่อมทอนซิลที่ทำงานหนักเพื่อดูแลร่างกายกลับกลายเป็นผู้ร้ายที่ต้องถูกกำจัดทิ้ง น่าน้อยใจแทน…

แต่ในแนวทางธรรมชาติบำบัด เชื่อว่าร่างกายมีการสื่อสารกับเราอยู่เสมอ เพียงแค่เราฝึกเรียนรู้ สังเกตุ และเชื่อในสัญญาณเตือนของโรคภัยไข้เจ็บที่ร่างกายเราส่งมาให้รับรู้ผ่านอาการผิดปกติต่างๆ

อาการต่อมทอนซิลอักเสบก็เช่นกัน เมื่อเกิดขึ้น แสดงว่าภูมิคุ้มกันของเราทำงานหนักเกินไป หรือทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ต้องค้นหาสาเหตุ ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอ เพื่อจะได้แก้ไขที่ต้นเหตุได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด การไขปัญหาด้วยการผ่าตัดต่อมทอนซินออกนอกจากจะเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ยังถือได้ว่า เราได้ทำลายกำแพงป้องกันโรคด่านหน้าของร่างกายทิ้งไปเสียแล้วหนึ่งด่าน ทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าโจมตีร่างกายได้สะดวกขึ้นอีกด้วย

 

ภาพ : shutterstock.com

 

  

สาเหตุหลักที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ส่วนใหญ่แล้วมักมาจากพฤติกรรมการกินอยู่ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการมีสุขภาพดีนั่นเอง เช่น

– ไม่ทานอาหารปรุงสดใหม่ ชอบทานอาหาร Junk Food อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งที่มักมีการเติมวัตถุปรุงแต่งเคมี และอุดมไปด้วยแป้ง น้ำตาลซึ่งเป็นอาหารโปรดของเชื้อก่อโรค
 

– ทานอาหารฤทธิ์เย็นมากเกินไป ทำให้เกิดความไม่สมดุลในร่างกายแบบเย็นเกิน ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารและต่อต้านเชื้อโรคซึ่งต้องอาศัยพลังงานความร้อนจึงหย่อนประสิทธิภาพลง
 

– ชอบทานอาหารมื้อดึก เป็นการกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดเวลา ทำให้การย่อยอาหารขาดประสิทธิภาพ เหลือขยะอาหารตกค้างหมักหมมในร่างกายเยอะ อาหารที่เน่าบูดเหล่านี้ ล้วนเป็นอาหารชั้นดีของจุลินทรีย์ก่อโรคในลำไส้
 

– ไม่ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวัน ชอบดื่มเครื่องดื่มหวานจัดทำให้เซลล์ในร่างกายขาดน้ำ และเลือดข้นหนืด กำจัดของเสียทางเลือดได้ไม่ดี นอกจากนี้ เครื่องดื่มหวานจัดมักมาควบคู่กับความเย็นจัด ซึ่งทำให้ร่างกายต้องสูญเสียพลังงานความร้อน ที่ใช้ในการย่อยอาหารและการทำลายเชื้อโรค มาเพื่อปรับอุณหภูมิน้ำโดยเปล่าประโยชน์ รวมถึงไตยังต้องรับภาระหนักในการกรองของเหลวที่ข้นหนืดอีกด้วย
 

– ขาดการออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวขยับร่างกายบ่อยๆ ช่วยให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองมีประสิทธิภาพมากขึ้น การไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองขาดประสิทธิภาพ
 

– พักผ่อนไม่เพียงพอ ขณะที่เราหลับสนิท เป็นช่วงเวลาทองของอวัยวะต่างๆที่จะพักจากการทำงานหลัก เป็นเวลาแห่งการซ่อมแซม ฟื้นฟูของทุกระบบ หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพองค์รวม ก่อให้เกิดความเสื่อมก่อนวัยอันควร
 

– ทานยาปฏิชีวนะ (ยากดภูมิคุ้มกัน) บ่อยหรือต่อเนื่องนานเกินไป จนระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกายทำงานเองไม่เป็น นอกจากนี้ การทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องนานเกินไป ยังเป็นการทำลายจุลินทรีย์ตัวดีในลำไส้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้หมดไปอีกด้วย
 

 

 


การแก้ไขในทางธรรมชาติบำบัด ทำได้โดย

– ทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ทานอาหารมื้อเช้าที่มีสารอาหารครบถ้วน ทานข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดขาว เน้นการทานผัก-ผลไม้ในแต่ละวันให้มากขึ้น ลดการทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขัดขาวและอาหารที่หวานจัด เช่น เบเกอรี่ ขนมปังขาว รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ย่อยยากลง
 

– ไม่ทำพฤติกรรมที่ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารอ่อนแอ เช่น การดื่มน้ำมากเกินไปในระหว่างมื้ออาหาร การทานอาหารดึกเกินไป หรือทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นมากจนเกินไป เป็นต้น
 

– ดื่มน้ำเปล่าไม่เย็นให้เพียงพอในแต่ละวัน ลด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มหวานจัด เย็นจัด รวมถึงเครื่องดื่มบรรจุกล่องหรือขวด ที่แทบทุกชนิดมีน้ำตาลในปริมาณสูง
 

– ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
 

– หลีกเลี่ยงการทานยากดภูมิคุ้มกัน รวมทั้งยาเคมีทุกชนิด โดยไม่จำเป็น หากเกิดการอักเสบเล็กน้อย หรือมีอาการไข้ที่ไม่รุนแรง แนะนำให้เลือกวิธีการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีกำลังมากพอในการกำจัดเชื้อโรค และดื่มน้ำเปล่าไม่เย็นมากขึ้นเพื่อช่วยลดความร้อน ความไม่สบายตัว ช่วยปรับความสมดุลของอุณหภูมิร่างกายไม่ให้สูงจนเกินไป
 

– ทานอาหารที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตและการเพิ่มจำนวนประชากรจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้เป็นประจำ เช่น น้ำหมักชีวภาพ น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ หรืออาหารหมักดอง (อย่างถูกสุขอนามัย)อย่าง กิมจิ แหนม หรือข้าวหมาก เป็นต้น
 

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> http://thearokaya.co.th/web/?p=5421 
 

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Panya
  • 7 Followers
  • Follow