ข้อที่ 1.

อ่านข้อความต่อไปนี้ ใช้ตอบคำถามข้อ 1-6
     วันนี้ผมตื่นแต่เช้ามืด แต่รู้สึกว่าจะเป็นไข้ หนาวๆร้อนๆ คิดว่าจะไม่ไปโรงเรียน ตามปกติผมมักจะฝืนไปโรงเรียนเสมอ แม้ว่าให้จะเจ็บป่วยมากน้อย เช่น ตาแดง คางทูม บางครั้งไปโรงเรียนแล้วครูเคยไล่กลับบ้าน เพราะเกรงว่าจะติดเพื่อนนักเรียนอื่นๆ ที่เล่ามาข้างต้นและจะเล่าต่อไปนั้นเรื่องประมาณเกือบ 40 ปีแล้ว เวลานั้นผมอายุประมาณสิบขวบเศษๆเมื่อผมล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็ปรากฏว่าบิดาของผมตื่นก่อนแล้ว บิดาของผมป่วยเป็นฝีที่หลังอยู่หลายวัน ตามปกติท่านควรจะอยู่ในมุ้ง แต่เช้ามืด วันนั้นท่านก็ตื่นเช้า พอเห็นผมเข้าท่านก็รู้สึกดีใจ เรียกไปซื้อโจ๊กให้กินหน่อยเถิด” บ้านเราอยู่ที่ตรอกวานิช ระหว่างตลาดน้อยกับวัดปทุมคงคา ถ้าไปซื้อโจ๊กต้องเดินไปสำเพ็ง แม้แต่โรงเรียนผมก็ตั้งใจจะไม่ไปแล้ว ถ้าไปซื้อโจ๊กให้เตี่ย ต้องผลัดผ้าโสร่งที่นุ่งอยู่เป็นนุ่งกางเกง ต้องใส่เสื้อใหม่ ต้องเดินไปสิบห้านาที เดินกลับมาสิบห้านาที ใครจะไป? ทั้งตัวเราเองก็ตะครั่นตะครอไม่ใคร่สบายอยู่แล้ว ผมอิดเอื้อนอยู่ เตี่ยทำไมไม่ใช้คนอื่น ทำไมต้องมาใช้ผมอยู่คนเดียวบิดาของผมไม่พูดอะไร ท่านเป็นคนที่ไม่ช่างพูดเป็นปกติอยู่แล้ว แม้แต่จะดุลูกก็ไม่อยากพูด ผมคิดไปคิดมา เตี่ยใช้ทั้งทีต้องไปซื้อโจ๊กให้หน่อย แต่ได้กระบิดกระบวนอยู่แล้วตั้งครึ่งชั่วโมงและก่อนจะออกเดินทางไปซื้อที่สำเพ็งก็ต้องแสดงฤทธิ์ด้วยการทำหน้าเง้าหน้างอ กระฟัดกระเฟียดให้เป็นที่ประจักษ์บ่ายวันนั้น บิดาของผมนอนหลับไปได้สักหนึ่งชั่วโมง หมอก็มาเยี่ยม คลำดูชีพจร บิดาของผมสิ้นลมไปแล้วทุกวันนี้ผมยังเสียดายโอกาสในวันสุดท้ายแห่งชีวิตของบิดาผม ท่านให้โอกาสผมรับใช้ท่าน แต่ผมไม่ได้รับโอกาสนั้นด้วยหน้าชื่นตาบาน กลับทำให้ขุ่นหมองใจท่าน ข้อแก้ตัวใดๆ ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น รวมทั้งข้ออ้างว่าไม่ใคร่สบาย

ข้อความนี้จัดเป็นข้อความประเภทใด