10 Views
สำหรับหัวหน้ามือใหม่ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ “เข็มทิศของการทำงาน” เพราะมันช่วยให้คุณและทีมรู้ว่ากำลังมุ่งไปทางไหน การตั้งเป้าหมายไม่ได้มีไว้แค่เพื่อรายงานผล แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารเวลา แรงงาน และทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การเป็นหัวหน้ามือใหม่ที่ดี จึงไม่ควรเริ่มทำงานโดยไม่มีเป้าหมาย เพราะนั่นเท่ากับคุณกำลังนำทีมเดินโดยไม่มีแผนที่
หลักการ SMART Goal เป็นแนวทางยอดนิยมที่ช่วยให้การตั้งเป้าหมายมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดย SMART หมายถึง
- S (Specific) : ระบุเป้าหมายให้ชัด เช่น เพิ่มยอดขาย 20% ภายใน 3 เดือน แทนที่จะบอกว่า อยากให้ยอดขายดีขึ้น
- M (Measurable) : ต้องวัดผลได้ เช่น จำนวนลูกค้าใหม่ หรือเปอร์เซ็นต์ยอดขาย
- A (Achievable) : เป้าหมายต้องเป็นไปได้จริง
- R (Relevant) : เป้าหมายต้องสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร
- T (Time-bound) : กำหนดกรอบเวลาให้ชัดเจน เพื่อกระตุ้นการทำงาน
หัวหน้ามือใหม่ควรใช้หลักนี้เป็นแนวทางในการกำหนดทั้งเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายของทีม เพื่อสร้างระบบการทำงานที่ชัดเจนและตรวจสอบได้
เมื่อมีเป้าหมายแล้วขั้นตอนต่อมาคือ การวางแผน ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญไม่แพ้กัน หัวหน้ามือใหม่ควรเริ่มจากการวิเคราะห์สถานการณ์จริงของทีม เช่น ศักยภาพ จุดแข็ง และข้อจำกัด เพื่อสร้างแผนที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ใช้เทคนิควางแผน ดังนี้
- แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นแผนย่อย : เพื่อให้ทีมเห็นภาพชัด และสามารถทำตามได้ทีละขั้น
- กำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน : มอบหมายงานให้เหมาะกับความสามารถของแต่ละคน
- สร้าง Timeline การทำงาน : เพื่อให้ทุกคนรู้ลำดับงานและจัดลำดับความสำคัญได้
- ติดตามผลเป็นระยะ : หัวหน้าที่ดีต้องมีระบบ Feedback ที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่รอถึงวันสุดท้ายค่อยมาประเมิน
ไม่ใช่ทุกแผนจะนำไปสู่ความสำเร็จ ความผิดพลาดของหัวหน้ามือใหม่มักเกิดจากการตั้งเป้าหมาย ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพจริง หรือ ไม่มีระบบติดตามผล ซึ่งทำให้ทีมหมดแรงจูงใจ จึงควรรู้ข้อควรหลีกเลี่ยง ดังนี้
- ตั้งเป้าหมายที่เกินจริงเกินไป
- ไม่สื่อสารเป้าหมายกับทีมให้เข้าใจตรงกัน
- ขาดความยืดหยุ่นเมื่อต้องปรับแผน
- ลืมให้เครดิตเมื่อทีมทำสำเร็จ
หัวหน้ามือใหม่ควรรู้ว่า การตั้งเป้าหมายจะไร้ความหมายถ้าทีมไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน สิ่งสำคัญคือการสร้างบรรยากาศที่ทีมรู้สึกว่า เป้าหมายนี้คือของพวกเราทุกคน ลองใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจให้ทีม ดังนี้
- ตั้งเป้าหมายร่วมกัน
ให้ทีมมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย เพราะเมื่อพวกเขารู้สึกว่า เสียงของฉันมีความหมาย จะเกิดความผูกพันกับงานมากขึ้น การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นยังช่วยให้ทีมเข้าใจทิศทางของงาน และพร้อมลงแรงเพื่อไปถึงจุดหมายเดียวกัน
- ให้ Feedback อย่างสร้างสรรค์
หัวหน้าที่ดีไม่ใช่คนที่ “ตำหนิ” แต่คือคนที่ “ให้คำแนะนำเพื่อพัฒนา” การให้ Feedback ที่เฉพาะเจาะจง เช่น “จุดนี้ทำได้ดีมาก แต่ถ้าปรับตรงนี้อีกนิดจะดียิ่งขึ้น” ช่วยให้ลูกทีมเห็นภาพการเติบโตของตัวเอง และมีกำลังใจในการพัฒนา
- เปิดโอกาสให้เติบโต
ไม่มีอะไรสร้างแรงจูงใจได้ดีไปกว่าการรู้ว่าตัวเอง “มีอนาคต” หัวหน้าควรส่งเสริมให้ทีมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น จัดอบรม สอนทักษะเพิ่มเติม หรือให้โอกาสเป็นหัวหน้าโปรเจกต์ย่อย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ทีมรู้สึกว่าการทำงานคือการเติบโต ไม่ใช่แค่ทำให้จบวัน