3,626 Views
Favorite
เมื่อเด็กรู้สึกมีความสุข จะนำมาซึ่งยาวิเศษสำหรับร่างกายที่เรียกว่า “ฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน” และ “ออกซีโตซิน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขที่ร่างกายหลั่งออกมาตามธรรมชาติ เมื่อเด็กอยู่ในภาวะที่ตื่นตัว หรือได้รับประสบการณ์ในทางบวก ทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย และสงบ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดให้กับเด็ก ๆ ได้ด้วยล่ะค่ะ และที่สำคัญก็คือ เด็ก ๆ ที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนแห่งความสุขอยู่เป็นประจำนั้น มักจะเป็นเด็กที่ร่าเริง มีอารมณ์ที่ดี และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตได้ดีกว่าเด็กโดยทั่วไป
ดังนั้น หน้าที่สำคัญของพ่อแม่อีกประการหนึ่ง ที่ไม่แพ้ไปกว่าการดูแลร่างกายของเด็ก ๆ ให้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แล้วนั้น ก็คือ การดูแลจิตใจให้สุขสดใสอยู่เสมอนั่นเองค่ะ และวันนี้ครูพิมก็มีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ มีความสุขได้ในทุก ๆ วัน มาฝากคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ
การสัมผัส เป็นวิธีการส่งผ่านความรักที่ง่ายและให้ผลดีที่สุดอย่างหนึ่งเลยล่ะค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ว่า เด็กเล็ก ๆ มักชอบการกอด การหอม หรือแม้กระทั่งการแตะตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น แตะมือ หรือวิ่งมาเฉียดเราเบา ๆ ในขณะที่เขากำลังเล่นสนุกอยู่ เพราะสิ่งนี้เป็นเหมือนการเติมพลังบวกทางอารมณ์ให้กับเด็ก ๆ และช่วยรักษาระดับฮอร์โมนแห่งความสุขให้กับพวกเขานั่นเองค่ะ
การเล่น เป็นวิธีการทางธรรมชาติที่นำมาซึ่งความสุขและสนุกสนานสำหรับคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ เมื่อเด็กได้เล่น ร่างกายจะได้ปลดปล่อยพลังงานที่เหลือล้น ทำให้เด็กรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ทำให้เลือดลมสูบฉีด และกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขได้อย่างดีเลยล่ะค่ะ
ใคร ๆ ก็รู้สึกดีเมื่อได้รับคำชม จริงไหมคะ เด็ก ๆ เองก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ที่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นคุณค่า และต้องการรู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นที่ต้องการของผู้อื่น การชมลูก เมื่อลูกทำสิ่งที่ดี หรือมีพฤติกรรมที่น่ารัก นอกจากจะเป็นการทำให้สิ่งดี ๆ นั้นยังคงอยู่แล้วนั้น ยังเป็นการทำให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกเห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งนำมาสู่ความสุขแบบระยะยาว ซึ่งควรจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับความสุขแบบระยะสั้น ๆ อย่างความสุขจากการได้เล่นสนุกสนานนั่นเองค่ะ
การพักผ่อน นับเป็นหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของร่างกายและจิตใจที่เป็นสุข หากใครที่เคยนอนไม่พอ คงจะเข้าใจความรู้สึกของความหงุดหงิด งุ่นง่าน รำคาญใจได้เป็นอย่างดีเลยใช่ไหมล่ะคะ และสำหรับเด็ก ๆ นั้น ความรู้สึกนี้จะยิ่งทวีคูณ เพราะบางครั้งไม่รู้ว่าจะต้องสื่อสารออกมาอย่างไร จนทำให้บางทีก็กลายเป็นการอาละวาดเพราะการหิวนอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนแห่งความสุขที่นับว่าอันตรายทีเดียวค่ะ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องจัดสรรเวลาพักผ่อนของเด็ก ๆ ให้เหมาะสม ระมัดระวังไม่ให้ใช้พลังงานต่อเนื่องมากจนเกินไป เพราะนอกจากเด็ก ๆ จะเหนื่อยกายแล้ว อาจจะนำมาซึ่งพฤติกรรมที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเหนื่อยใจได้อีกด้วยนะคะ
เมื่อพูดถึงสมาธิ คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดไปว่า ต้องพาลูกไปเข้าวัดเข้าวา นั่งสมาธิกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยรึเปล่า อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เพราะสมาธิสำหรับเด็ก (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่) นั้น สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันหรือแม้กระทั่งการเล่นได้ไม่ยากเลย โดยในแต่ละวัน คุณพ่อคุณแม่ควรจัดสรรเวลาให้เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมที่อยู่นิ่ง ๆ หรือได้ใช้เวลาจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เด็กมีความสนใจ แต่ขอแนะนำว่า ไม่ใช่การยื่นสมาร์ทโฟนให้นะคะ สมาธิในที่นี้ มาจากกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นและสร้างความพฤติกรรมที่เรียกว่า ความอุตสาหะ ให้กับลูก เช่น การอ่านหนังสือ การเล่นเกมกระดาน การทำศิลปะแบบอิสระ (Free form Art) หรือแม้แต่การนั่งสังเกตธรรมชาติก็ได้เช่นกันค่ะ
ครูพิม ณัฏฐณี สุขปรีดี
นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพเด็กเล็กและการเลี้ยงลูกเชิงบวก
Facebook.com/PimAndChildren
