www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




คลังความรู้ > ประวัติศาสตร์ > มัธยมปลาย

รู้รอบโลก ตอน เนลสัน แมนเดลา เพื่ออิสรภาพของชาวแอฟริกาใต้
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2015-01-07 13:40:59

เรื่อง: ญดา สัตตะรุจาวงษ์  ภาพประกอบ: วันนิตา จุนถาวร

เนลสัน แมนเดลา
เพื่ออิสรภาพของชาวแอฟริกาใต้
 


เป้าหมายของการต่อสู้ระหว่างคนสองฝ่ายมักอยู่ที่การเป็นผู้ชนะมากกว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การเอาชนะด้วยกำลังระหว่างสองฝ่ายที่มีกำลังคนเท่ากันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับการต่อสู้ของคนหนึ่งคนเพื่อเปลี่ยนแนวความคิดและความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งต้องใช้ความพยายามและความเสียสละอย่างมาก สำหรับชาวแอฟริกาใต้ การต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของ “เนลสัน แมนเดลา” จึงเป็นประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ที่จารึกชื่อของรัฐบุรุษอาวุโสผู้นี้ให้โลกไม่มีวันลืม


ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้ เจ้าของวลีที่ว่า “ทุกสิ่งมักจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เสมอ จนกว่าเราจะทำมันได้สำเร็จ” ในอดีตเป็นเด็กชายที่เติบโตมาในวัฒนธรรมของชนเผ่าแอฟริกันแท้ๆ เนลสันมีชื่อเดิมในภาษาคโฮซาว่า “โรลิฮฺลาฮฺลา มันเดลา” เขาเป็นลูกชายของคนสนิทของหัวหน้าเผ่าและมีมารดาที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เขาเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้รับการศึกษา และคุณครูได้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้ใหม่ว่า “เนลสัน”

 

แอฟริกาใต้ในวัยเยาว์ของแมนเดลา มีการยึดครองอำนาจของกลุ่มคนผิวขาวส่วนน้อยในประเทศ และการกำหนดชนชั้นระหว่างคนแต่ละเชื้อชาติ ทำให้เกิดเป็นนโยบายการถือผิว (Apartheid) คนผิวดำ คนอินเดีย หรือคนเอเชียอพยพไม่มีสิทธิไปโรงเรียนร่วมกับคนผิวขาว คนผิวสีอื่นๆ ไม่มีสิทธิใช้รถสาธารณะหรือระบบสาธารณูปโภคร่วมกับคนผิวขาว รวมถึงไม่ได้รับสิทธิทางการเมืองใดๆ นโยบายแบ่งแยกระหว่างเชื้อชาตินี้ถูกบังคับใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948-1994

 

เมื่อเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงโจฮันเนสเบิร์ก แมนเดลาเริ่มมีความสนใจในแนวความคิดด้านการเมืองและเริ่มเปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิต จากการเรียนเพื่อเป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าเผ่าเช่นเดียวกับพ่อมาเป็นการเรียนด้านกฎหมาย จนกลายเป็นนักเรียกร้องสิทธิเพื่อความเท่าเทียมซึ่งทำให้เขาถูกจับและกลายเป็นนักโทษการเมือง เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี อยู่ในห้องขังเล็กๆ บนเกาะ ถูกจำกัดการเยี่ยมและการติดต่อทางจดหมายกับครอบครัว ไม่ได้ไปร่วมงานศพแม่และลูกสาวที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก

 

หลังการกดดันจากนานาชาติและการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลและพรรคการเมืองแห่งชาติแอฟริกาใต้ แมนเดลาได้รับการปล่อยตัวในปี ค.ศ. 1990 สามปีต่อมาในปี ค.ศ. 1993 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกับ เฟเดอริก วิลแลม เดอ เคลิร์ก (Frederik Willem de Klerk) อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ในฐานะที่ร่วมกันเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวเพื่อหยุดยั้งการเหยียดชนชาติอย่างสันติด้วยนโยบายประสานไมตรี เน้นการเจรจา และการประท้วงอย่างสันติ ทั้งสองต่อสู้กับอำนาจของคนผิวขาว และยังต่อสู้กับลัทธิรวบอำนาจของคนผิวดำด้วยกันเอง ทำให้แอฟริกาใต้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งประชาธิปไตยที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมกัน

 

เนลสัน แมนเดลา ชนะการเลือกตั้งตามกระบวนการทางประชาธิปไตยจากคนทุกเชื้อชาติเป็นครั้งแรกในแอฟริกาใต้ และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ผลงานสำคัญในขณะดำรงตำแหน่งคือการร่วมจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีอยุติธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่มีการเหยียดชนชาติในแอฟริกาใต้ ทั้งนี้การสอบสวนนี้เรียกร้องให้ผู้ที่เคยกระทำผิดต่อคนเชื้อชาติอื่นๆ ออกมารับสารภาพ โดยจะไม่ได้รับการลงโทษใดๆ เขาให้เหตุผลว่ากระบวนการนี้จะทำให้เราสามารถก้าวพ้นจากอดีตอันโหดร้ายที่หลอกหลอน เพื่อก้าวไปสู่ปัจจุบันและอนาคตที่ดียิ่งขึ้นได้ เพราะ “อิสรภาพไม่ใช่แค่การพ้นจากพันธนาการที่ล่ามเราอยู่ แต่หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างเคารพและส่งเสริม อิสรภาพของผู้อื่นด้วย”

 

แมนเดลาได้รับการเคารพยกย่องไปทั่วโลกในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ภาพที่เราจดจำได้ดีคือรัฐบุรุษท่านนี้มักจะสวมเสื้อผ้าบาติกพื้นเมืองแม้ในโอกาสที่เป็นทางการ แม้ในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 95 เมื่อเดือนกรกฎาคม ท่านยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเนื่องจากอาการติดเชื้อในปอด คนทั่วโลกก็ยังพร้อมใจกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติให้แก่รัฐบุรุษผู้เปลี่ยนแปลงแอฟริกาใต้ไปตลอดกาล


ฟังสุนทรพจน์การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของเนลสัน แมนเดลา
https://www.youtube.com/watch?v=xZ9KlXCkb2s

 

ที่มา : นิตยสาร pook ฉบับที่ 33 เดือนกันยายน 2556