เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-02-01 08:48:12
“ครูเทพ” หรือ มหาเสวกเอก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (1 ม.ค. 2419 - 1 ก.พ. 2486) นามเดิม สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา เสนาบดีกระทรวงธรรมการ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) “
ท่านได้ชื่อว่า เป็นผู้มีคุณูปการหลากหลายด้านต่อการพลศึกษาและการกีฬาของประเทศไทยบุคคลหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นผู้วางรากฐานสำคัญของการพลศึกษาและการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาตลอดจนประชาชนทั่วไปได้เห็นคุณค่าประโยชน์และเห็นถึงความสำคัญของการพลศึกษาและกีฬา รวมถึงเสริมสร้างลักษณะนิสัยความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา
นอกจากนี้ ยังเป็นครูผู้นำกีฬาฟุตบอล เข้ามาสู่ประเทศไทย รวมถึงเป็นนักปฏิวัติการศึกษาคนสำคัญของชาติ ซึ่งต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกในระบอบประชาธิปไตย
ผู้วางรากฐานการศึกษาภาคบังคับพื้นฐานและการอาชีวศึกษา ผู้ร่วมดำริให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
นอกจากคุณูปการด้านการศึกษาแล้ว เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี มีบทบาทอีกหลายด้าน เช่น
ด้านการเมือง ท่านยังเป็นอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรก
ด้านกีฬา ท่านเป็นผู้นำกีฬาฟุตบอลมาเผยแพร่ในประเทศไทย
ด้านการประพันธ์ ท่านเป็นนักประพันธ์ (ใช้นามปากกา "ครูเทพ") ผู้ประพันธ์เพลงกราวกีฬา และเพลงชาติฉบับก่อนปัจจุบัน และ บทเพลง คิดถึง เป็นอีกบทเพลงที่ท่านได้ประพันธ์ไว้ให้เมื่อ พ.ศ. 2477 (บันทึกเสียงครั้งแรก พ.ศ. 2494 โดยคุณเฉลา ประสบศาสตร์) ซึ่งเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะมากและยืนยงถึงปัจจุบันโดยใช้ทำนองเพลง “ยิบซีแอร์” ของ Pablo de Sarasate (SARASATE:Gypsy Air, Op.20)
ประวัติ
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเกิดที่บ้านหลังศาลเจ้าหัวเม็ด ตำบลสะพานหัน จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2419 ตรงกับวันจันทร์ เดือนยี่ แรม 2 ค่ำ ปีชวดเป็นบุตรคนที่ 18 จากบุตร-ธิดา 32 คนของพระยาไชยสุรินทร์ (หม่อมหลวงเจียม เทพหัสดิน) และท่านมารดาอยู่ สืบสกุลจากพระยาราชภักดี (หม่อมราชวงศ์ช้าง เทพหัสดิน) ผู้เป็นบุตรหม่อมเจ้าฉิมในพระสัมพันธวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ โอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอองค์น้อยในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1
เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ท่านบิดาก็ถึงแก่อนิจกรรม ชีวิตของท่านจึงผกผันจากการเป็นครอบครัวคนชั้นสูง จากการเป็นบุตรเสนาบดี (พระยาไชยสุรินทร์ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ) ต้องมาช่วยมารดาทำสวน ค้าขายและรับจ้างเย็บรังดุมตั้งแต่ยังเด็ก ความยากลำบากทำให้ท่านมีความอดทนไม่ท้อถอยและมีอุปนิสัยอ่อนโยน มัธยัสถ์ ซึ่งเป็นสิ่งเกื้อหนุนให้ท่านมีความเจริญรุ่งเรืองในการการศึกษาและการทำงาน
การศึกษา
เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข พระตำหนักสวนกุหลาบ และโรงเรียนสุนันทาลัย แล้วเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ระหว่างปี พ.ศ. 2435 - 2437 ได้รับประกาศนียบัตรครู และสอบไล่ได้เป็นที่ 1 ของผู้สำเร็จวิชาครูชุดแรกและทำหน้าที่สอนประมาณ 2 ปี
ชีวิตการทำงานและผลงาน
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีในวัยทำงาน พ.ศ. 2441 จบการศึกษาและการดูงานกลับมาอุปสมบทในบวรพุทธศาสนา 1 พรรษา โดยมีโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
ภาพล้อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ฝีพระหัตถ์ รัชกาลที่ 6
งานด้านการศึกษา
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้ประกอบกิจการทางการศึกษาอันเป็นคุณูปการไว้แก่ประเทศไว้มากมาย โดยเฉพาะในการวางรากฐานอย่างสมัยใหม่
เริ่มตั้งแต่การเป็นครู ผู้ตรวจการศึกษา เป็นเจ้ากรมราชบัณฑิต เจ้ากรมตรวจ ปลัดทูลฉลองจนถึงเสนาบดี โดยเริ่มนำเอาความรู้แผนใหม่เข้ามาในวงการครู เริ่มพัฒนาด้านพุทธิศึกษาอย่างจริงจัง เขียนตำรา เริ่มตั้งแต่ด้านการสุขาภิบาลและสุขศึกษาสำหรับครอบครัว รวมทั้งเน้นด้านปลูกฝังธรรมจรรยาอย่างแท้จริง อบรมสั่งสอนให้คนมีคุณธรรมและจรรยามรรยาท
จัดทำแบบสอน-อ่าน-เขียนด้านธรรมจริยาขึ้นใช้ในโรงเรียนทั่วประเทศ นำพลศึกษาและการกีฬาเข้ามาในโรงเรียนเพื่อสร้างลักษณะนิสัยให้เยาวชนรู้จักรู้แพ้ รู้ชนะ รู้จักอภัยซึ่งกันและกัน
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้จัดให้มีการศึกษาภาคบังคับ เพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาทั่วถึงกันโดยท่านเชื่อว่า เมื่อให้มวลชนได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางแล้ว บุคคลที่มีความสามารถก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นเอง ได้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นทั่วประเทศรวมทั้งโรงเรียนประชาบาลเพื่อรองรับการจัดการศึกษาภาคบังคับ
มีการเริ่มงานด้านหัตถศึกษา คือ นำเอาวิชาอาชีพต่างๆ เข้ามาสอนในโรงเรียน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทั้งด้านวิชาความรู้เพื่อไปรับราชการ และทางด้านวิชาชีพสำหรับผู้ที่ต้องการนำไปประกอบอาชีพทั่วไป ผลงานของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี อาจสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
ด้านการค้า
ได้ริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนพาณิชยการขึ้นที่วัดมหาพฤฒาราม
ด้านการประพันธ์
ท่านได้แต่งตำราและหนังสือเป็นจำนวนมากซึ่งมีทั้งความเรียงร้อยแก้ว และบทร้อยกรอง ซึ่งอาจแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้
1. แบบเรียน มีตั้งแต่แบบเรียนอนุบาล แบบเรียนวิชาครู ตรรกวิทยา เรขาคณิต พีชคณิต แบบสอนอ่านธรรมจริยา สุขาภิบาลสำหรับครอบครัว สมบัติผู้ดี และอื่นๆ อีกมาก
2. โคลง –กลอน แต่งไว้เป็นจำนวนมาก และไดรับการรวบรวมตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “โคลงกลอนของครูเทพ”
3. บทความ ว่าด้วยการศึกษา จรรยา การสมาคม เศรษฐกิจและการเมือง และปรัชญา โดยใช้นามปากกาว่า “ครูเทพ” บ้าง “เขียวหวาน” บ้าง
4. ละครพูด แต่งขึ้นรวม 4 เรื่อง ได้แก่ บ๋อยใหม่ แม่ศรีครัว หมั้นไว้ และตาเงาะ
ด้านดนตรี
ได้เป็นผู้ประพันธ์ “เพลงกราวกีฬา” ในนาม “ครูเทพ” เพื่อจูงใจให้นักก๊ฬารู้จักการแพ้ชนะและรู้จักการให้อภัย ทั้งนี้สืบเนื่องจากการการรณรงค์ให้มีการออกกำลังกายและการแข่งขันกีฬาในโรงเรียนทั่วประเทศ รวมทั้งการริเริ่มให้มีการแข่งขันฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่รุนแรง ซึ่งในเวลาต่อมาที่มักเกิดการวิวาทกันอยู่เนือง ๆ
เพลง กราวกีฬา มีเนื้อร้องดังนี้
“พวกเรา นักกีฬา ใจกล้าหาญ เชี่ยวชาญชิงชัย ไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ ไม่รีรอ คราวแพ้ก็ไม่ท้อ กัดฟันทน
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลศ ทำคนให้เป็นคน
ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล
ร่างกายกำยำล้ำเลิศ กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหด อดทน ว่องไว ไม่ย่นระย่อใคร ใจคงมั่นคง
ทรงศักดิ์ รู้จักทีหนี ทีไล่ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ไม่ชอบเอาเปรียบ เฉียบแข่งขัน สู้กันซึ่งหน้า อย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง เกลียดชังการเล่น เห็นแก่ตัว
เล่นรวมกำลัง กันทั้งพวก เอาชัยสะดวก มิใช่ชั่ว
ไม่ว่างาน หรือเล่น เป็นไม่กลัว ร่วมมือกันทั่ว ก็ไชโย”
กีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลศ ทำคนให้เป็นคน
ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้เป็นผู้แต่งเนื้อร้องเพลงชาติโดยใช้ทำนองเพลงมหาฤกษ์มหาชัยเพื่อใช้เป็นเพลงประจำชาติชื่อ “เพลงชาติมหาชัย” อยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนใหม่โดยมีเนื้อร้องดังนี้
“สยามอยู่คู่ฟ้าอย่าสงสัย เพราะชาติไทยเป็นไทยไปทุกเมื่อ
ชาวสยามนำสยามเหมือนนำเรือ ผ่านแก่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย
เราร่วมใจร่วมรักสมัครหนุน วางธรรมนูญสถาปนาพาราใหม่
ยกสยามยิ่งยงธำรงชัย ให้คงไทยตราบสิ้นดินฟ้า”
ชีวิตครอบครัวและชีวิตในบั้นปลาย
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีมีพี่น้องรวมมารดาที่ได้ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายท่านและหลายด้าน มีที่ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษาสองท่านคือ มหาอำมาตย์โทพระยาอนุกิจวิธูร (สันทัด) และพระยาวิทยาปรีชามาตย์ (ศิริ) รวมทั้งผู้มีศักดิ์เป็นหลานแต่อ่อนอายุกว่าเพียงปีเดียว
ที่ทำคุณประโยชน์ด้านการทหารคือ พลเอกพระยาเทพหัสดิน หัวหน้าคณะทูตทหารไทยที่เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1
ท่านได้สมรสกับท่านผู้หญิงถวิล (สาลักษณ์) และมีภริยาอีก 4 คน มีบุตร-ธิดารวม 20 คน ได้อบรมสั่งสอนให้บุตร-ธิดาทุกคนให้มีความอดทนและมัธยัสถ์ สนับสนุนให้ทุกเรียนถึงชั้นสูงสุดเท่าที่มีความสามารถ และด้วยการมีส่วนผลักดันการศึกษาด้านการช่างและได้สนับสนุนให้มีการเปิดสอนวิชาสถาปัตยกรรมขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ท่านจึงแนะนำให้บุตรี 2 คน สอบเข้าเรียนเป็นนิสิตรุ่นแรกในคณะนี้เป็นรุ่นแรกเพื่อแสดงให้เห็นว่าสตรีก็สามารถเป็นช่างได้ ซึ่งบุตรีทั้งสองท่านคือคุณปรียา ฉิมโฉมและคุณธารี เทพหัสดิน ณ อยุธยา ก็ได้เป็นสถาปนิกรุ่นบุกเบิกและได้เป็นกำลังสำคัญของกรมโยธาเทศบาลในสมัยนั้น โดยเฉพาะคุณปรียาได้เป็นผู้บุกเบิกด้านการผังเมืองและได้เป็นผู้อำนวยการ (อธิบดี) สำนักผังเมืองคนแรกในสมัยนั้น
หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้ถวายบังคมลาออกจากราชการเมื่อ พ.ศ. 2469 มาอยู่ที่บ้านพักตำบลนางเลิ้ง หลานหลวง ถนนนครสวรรค์ กรุงเทพมหานคร และช่วยบุตรีคือ คุณไฉไลเปิดโรงเรียนสตรีจุลนาค และได้ช่วยสอนโดยวิธีใหม่ที่ท่านพยายามเผยแพร่ด้วย
ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเขียนบทความ หนังสือและบทประพันธ์ต่างๆ รวมทั้งบทเพลงดังที่กล่าวมาแล้ว ปัจจบันบ้านพักของท่านที่ถนนนครสวรรค์ดังกล่าว ซึ่งสร้างขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับพระที่นั่งอนันตสมาคม แม้จะมีขนาดเล็กและเรียบง่ายแต่ก็มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษ์โดยกรมศิลปากร
ที่มาเรียบเรียงจาก วิกิพีเดีย และ https://www.oknation.net/blog/print.php?id=411524