วันเบาหวานโลก
ในบรรดาโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดกับมนุษย์ทุกวันนี้ มีโรคอยู่โรคหนึ่งที่ควรกลัวกันให้มากเพราะมีลักษณะเป็น “ภัยเงียบ” คือ “โรคเบาหวาน” ซึ่งตอนที่เริ่มเป็นจะไม่แสดงอาการอย่างใดให้ทราบได้เลย ต่อเมื่อใดที่มีอาการชัดเจนขึ้นจนเจ้าตัวสงสัย เมื่อนั้นแสดงว่าเป็นมากแล้ว และเมื่อเป็นแล้วก็จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากจะรักษาอาการต่างๆ ให้บรรเทาลง ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น สหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF) กับองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้ร่วมกันกำหนดให้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “ วันเบาหวานโลก” เพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงพิษภัยและร่วมกันรณรงค์เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ทั้งในแง่ของสาเหตุ อาการ และการรักษา ตลอดจนภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และเพื่อให้สมตามเจตนารมย์ของวันสำคัญดังกล่าว จึงได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับโรคเบาหวานมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้
โรคเบาหวาน คือ โรคซึ่งปัสสาวะออกมาแล้วมีน้ำตาลออกมากับปัสสาวะด้วย (คนปกติไม่ควรมี)
เราคงจะทราบกันดีแล้วว่า อาหารบรรดามีที่รับประทานเข้าไปนั้นไม่ว่าจะเป็นแป้ง ไขมัน หรือเนื้อสัตว์ ในที่สุดจะต้องไปถูกย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้ จนเหลือเป็นอณูที่เล็กที่สุดที่จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ และนำไปใช้ให้เกิดเป็นกำลังงานในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอกับเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกายต่อไป โดยอาหารจำพวกแป้งนั้นจะถูกย่อยจนในที่สุดเป็นน้ำตาลกลูโคสเกือบทั้งหมด รองลงมาคือเนื้อสัตว์ จะเป็นกลูโคสได้ประมาณ ๕๘% ในขณะที่ไขมันจะเป็นกลูโคสได้เพียงประมาณ ๑๐% เท่านั้น ซึ่งน้ำตาลกลูโคสนี้เองที่เป็นตัวการสำคัญ เหมือนเชื้อเพลิงที่จะช่วยเผาผลาญอาหารไขมันและเนื้อสัตว์ให้เกิดการย่อย และเกิดกำลังขึ้นแก่ร่างกาย ส่วนที่เหลือก็จะถูกน้ำไปเก็บสะสมไว้ที่ตับ และที่กล้ามเนื้อต่างๆ เพื่อจะได้นำออกมาใช้ยามต้องการ
ทีนี้ประเด็นอยู่ที่ว่ากลูโคสนี้ไม่ใช่ว่าจะทำหน้าที่เผาผลาญอาหารได้สำเร็จโดยตรง มันจะต้องถูกบังคับโดยฮอร์โมนจากเซลชนิดหนึ่งในตับอ่อนที่ชื่อ “อินซูลิน” ก่อน และการที่ “อินซูลิน” จะมีมากหรือน้อย ก็ยังขึ้นกับการทำงานของตับอ่อน กับต่อมไร้ท่ออื่นๆ ที่จะคอยทำหน้าที่บังคับซึ่งกันและกันให้มีการขับอินซูลินออกมามากหรือน้อยตามต้องการอีก ดังนั้นถ้าอินซูลินถูกขับออกมาได้น้อย ร่างกายก็ย่อมไม่อาจใช้น้ำตาลในการเผาผลาญให้เกิดกำลังงานได้เต็มที่ ซึ่งต่อมาอาจทำให้น้ำตาลที่มีมากขึ้นนั้น ถูกนำไปเก็บสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ น้ำตาลในเลือดก็จะเพิ่มสูงขึ้น ไตก็จะทำหน้าที่ขับน้ำตาลที่มีมากในเลือดนั้นออกมา น้ำตาลก็จึงไปปรากฏในน้ำปัสสาวะ ที่เรียกกันว่าเบาหวาน
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่จะทำให้มีน้ำตาลในน้ำปัสสาวะได้อีกเหมือนกัน เช่นตับอ่อนเกิดอักเสบเฉียบพลันและรุนแรง ทำให้เนื้อตับอ่อนบวม แต่พออาการอักเสบหายไป อาการเบาหวานหรือมีน้ำตาลในน้ำปัสสาวะก็จะหายไป หรือการที่มีอารมณ์โกรธ ตกใจ ตื่นเต้น เหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดอาการเบาหวานขึ้นได้เหมือนกัน แต่เป็นเพียงชั่วคราว ดังนั้นการพบน้ำตาลในน้ำปัสสาวะก็ไม่ใช่จะเหมาทันทีว่าเป็นโรคเบาหวาน การวินิจฉัยโรคเบาหวานจะทำได้โดยการเจาะหาระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น โดยจะต้องงดอาหารก่อนเจาะเลือดเป็นเวลา ๘ ชั่วโมง ถ้าพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า ๑๒๖ มก./ดล. (มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร) ยังต้องทำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังพบว่าสูงกว่า ๑๒๖ มล. /ดล. จึงจะถือว่าเป็นเบาหวาน แต่สำหรับคนที่มีอาการต่างๆ ซึ่งส่อว่าอาจเป็นเบาหวานปรากฏอยู่ก่อนแล้วเช่น ปัสสาวะบ่อยขึ้นโดยเฉพาะในตอนกลางคืน กระหายน้ำ-ดื่มน้ำบ่อยขึ้น กินเก่งขึ้นแต่น้ำหนักกลับลดแล้ว ถ้าเจาะเลือดโดยไม่ต้องอดอาหารแล้วพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า ๒๐๐ มก./ ดล.ก็ถือว่าเป็นเบาหวาน และสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ก็อาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยอีกนอกเหนือจากอาการสำคัญที่กล่าวข้างต้น เช่น คันตามผิวหนังโดยไม่มีผื่นคัน ถ้าเป็นผู้หญิงอาจมีอาการคันอวัยวะเพศ ตาผ้าฟางลง มีต้อกระจกหรือม่านตาอักเสบ อาจมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า หรือตามผิวหนังทั่วๆไปของร่างกายอันเนื่องจากปลายประสาทอักเสบ ความคิดอ่านต่างๆ อาจเสื่อมลง และอาจมีอาการอ่อนเพลียลงทุกที
ใครบ้างมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้แก่คนที่
๑. อ้วน
๒. มีคนในครอบครัวสายตรงเป็นเบาหวาน
๓. เคยคลอดบุตรตัวโต น้ำหนักกว่า ๔ กก.
๔. มีความดันโลหิตสูง
๕. ไขมันในเลือดชนิด HDL น้อยกว่า ๓๕ มก./ดล.
๖. มีประวัติการตรวจความทนน้ำตาลกลูโคสแล้วผิดปกติ
สำหรับคนทั่วไป แม้ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เมื่ออายุเกิน ๔๕ ปีขึ้นไปก็ควรต้องตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดด้วยเหมือนกัน แต่ ๓ ปีตรวจครั้งหนึ่งก็ได้ ถือเป็นการป้องกันไว้ก่อน เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปหาหมอเรื่องอื่น แต่กลับตรวจพบเบาหวานโดยบังเอิญ
การบำบัดรักษา การรักษาเบาหวานมีหลักๆ ๓ อย่าง การเลือกใช้ขึ้นกับความรุนแรงของโรค
- การควบคุมอาหาร เป็นสิ่งที่แพทย์จะแนะนำเสมอ เช่น จำกัดอาหารจำพวกแป้ง เพราะแป้งจะทำให้เกิดน้ำตาลได้ทั้งหมด ควรหลีกเลี่ยงของหวานให้มากๆ การปรับสัดส่วนอาหารให้เหมาะสมจะทำให้การดูดซึมกลูโคสช้าลง ซึ่งจะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดลดลงได้
- การให้ยากินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ทำให้มีการใช้กลูโคสมากขึ้น ลดการสร้างกลูโคสในร่างกายขึ้นใหม่ และยับยั้งการดูดซึมกลูโคสด้วย ทำให้ระดับน้ำตาลต่ำลง กับการให้ยาฉีดอินซูลิน เพื่อทดแทนอินซูลินที่ขาดไป อินซูลินจะพากลูโคสเข้าไปใช้ในเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงได้
- การออกกำลังกาย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้มีการใช้พลังงานอย่างได้ผล ทำให้ระดับน้ำตาลลดลง การควบคุมเบาหวานที่ดีคือสามารถควบคุมระดับน้ำตาลหลังงดอาหารได้ต่ำกว่า ๑๒๐ มก./ดล.
จุดประสงค์ของการรักษา
๑. แก้ไขภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันที่เกิดจากระดับน้ำตาลสูงมากจนอาจหมดสติ
๒. แก้ไขอาการของเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลด ฯลฯ
๓. ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเบาหวาน โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดตีบตัน เช่น อัมพาต โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคไตวาย แผลเรื้อรัง หลอดเลือดแขนขาอุดตัน เบาหวานขึ้นตา และเป็นต้อกระจก
นำเรื่องโรคเบาหวานมาบอกกันนี้ก็เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจโรค และดูแลตัวเอง แต่ก็อย่าวิตกกังวลจนมากเกินไป เพราะถึงแม้เบาหวานจะไม่สามารถรักษาได้หายขาด แต่ก็มีคนเป็นเบาหวานจำนวนไม่น้อย ที่เขาควบคุมตัวเองได้ดีในเรื่องอาหารการกิน และการออกกำลังกาย แล้วก็สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคนที่ไม่ได้เป็น
หมายเหตุ
เหตุที่ใช้วันที่ ๑๔ พฤศิกายน เป็น “วันเบาหวานโลก” ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr. Frederick Banting ผู้ค้นพบ “อินซูลิน” เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.๑๙๒๑ ( พ.ศ. ๒๔๖๔) ผู้ซึ่งเกิดในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน
ที่มา
- google.com
- ThaiClinic.com I ความรู้เรื่องโรคเบาหวาน
- บทความเรื่องโรคเบาหวานของ ศจ.นพ.เสนอ อินทรสุขศรี จากหนังสือราศรีอนุสรณ์
ภาพประกอบ : https://www.healthcarethai.com/ และ https://www.siamhealth.net/
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง ไวันเบาหวานโลก" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ