วันมาฆบูชา
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี ๔๙ นี้ มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาหนึ่งวัน คือวันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๓ ชาวพุทธจะได้ปฏิบัติกิจทางศาสนา เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม แล้วก็เวียนเทียน เพื่อระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าที่ได้แสดงหลักธรรมคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่เรียกกันว่า “โอวาทปาฏิ-โมกข์” แก่พระอรหันตสาวก และคำสอนนั้นก็ได้เผยแผ่สืบทอดกันมาให้คนยุคหลังได้ยึดถือปฏิบัติ ทำให้ทุกคนประพฤติดี แม้ไม่ดีถึงที่สุดบริบูรณ์ แต่อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็ไม่ก่อความเดือดร้อนให้สังคม ทำให้สังคมมนุษย์อยู่กันสงบสุขพอสมควร
สำหรับเมืองไทยเรานั้น ได้เริ่มมีพิธีกรรมเนื่องในวันมาฆบูชาสมัยรัชกาลที่ ๔ คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถือตามแบบโบราณบัณฑิตที่นิยมว่า วันมาฆบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์ ซึ่งได้มีพระอรหันตสาวกที่ได้อภิญญา ๖ ทั้งหมด และเป็นสาวกที่พระพุทธเจ้าบวชให้จำนวนถึง ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเทศนาโอวาทปาฏิโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์นั้นเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา จึงถือเหตุนั้นประกอบการสักการบูชาพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้ง ๑,๒๕๐ รูป เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส และได้ทรงประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันมาฆบูชาขึ้นในพระบรมมหาราชวังก่อน ได้เสด็จประกอบการพระราชพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด ภายหลังพิธีการดังกล่าวจึงขยายออกสู่พุทธศาสนิกชนภายนอกได้ใช้เป็นแบบอย่างสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ พิธีมาฆบูชาจึงมีทั้งพระราชพิธีและพิธีของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ว่าถึงพิธีมาฆบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปนั้น ปกติก็จะทำบุญตักบาตรในตอนเช้าแล้วก็อาจจะรับอุโบสถศีล – ฟังเทศน์กันที่วัด พอตอนค่ำก็นำธูปเทียน-ดอกไม้ไปพร้อมกันที่พระอุโบสถหรือเจดีย์สถานแห่งใดแห่งหนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธา เมื่อพร้อมกันแล้วก็กล่าวคำบูชาซึ่งโดยปกติแล้วก็จะมีพระภิกษุที่เป็นประธานเป็นผู้กล่าวนำเมื่อกล่าวคำบูชาเสร็จแล้วพระสงฆ์ก็จะเดินนำหน้าเวียนขวารอบพระอุโบสถ ๓ รอบ ซึ่งเราเรียกกันว่า “เวียนเทียน” ในการเดินเวียนเทียนนั้นมิใช่เดินตามกันไปเฉย ๆ ขณะเวียนรอบแรกให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ เวียนรอบสองระลึกถึงพระธรรมคุณ และเวียนรอบที่สามระลึกถึงพระสังฆคุณ ดังนั้น การเดินเวียนเทียนที่มีการพูดคุย หยอกล้อกัน จึงเป็นสิ่งไม่ควรกระทำ เพราะแสดงถึงการขาดความเคารพพระรัตนตรัย เมื่อเวียนเทียนเสร็จก็จะเข้าไปสวดมนต์และฟังธรรมในพระอุโบสถอันจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา
ข้อที่ควรทำเป็นพิเศษในวันมาฆบูชาอีกประการหนึ่งคือ ควรพิจารณาความหมายของการเว้นชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง แล้วตั้งใจปฏิบัติตามนั้นก็จะประสบแต่ความสุขความเจริญอันเป็นยอดปรารถนาของทุกคน
เรื่องน่ารู้อย่างย่อ
- คำว่า “พระโอวาทปาฏิโมกข์” แปลว่า “พระโอวาทที่เป็นประธานหรือคำสอนที่เป็นหลักใหญ่ทางพระพุทธศาสนานิยมเรียกว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนา”
- หลักธรรมในโอวาทปาฏิโมกข์ แบ่งออกเป็น ๓ ตอน
ตอนที่ ๑ มีใจความว่า “ความอดทน คือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าว พระนิพพานว่ายอดเยี่ยม ผู้ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต และผู้เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ”
ตอนที่ ๒ มีใจความว่า “การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถืงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
ตอนที่ ๓ มีใจความว่า “การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น การไม่ทำร้ายผู้อื่น ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ที่นอนที่นั่งอันสงัด การประกอบความเพียรในอธิจิต นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
- ในการปฏิบัติกิจพิธีทางศาสนาของพุทธศาสนิกชน ดอกไม้-ธูปเทียนเป็นของบูชาที่ขาดไม่ได้ และดอกไม้ที่ใช้ก็มักจะใช้ดอกบัวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากถือกันว่าดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา แต่ในที่นี้จะแนะนำดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีตำนานความเชื่อว่าจะให้อานิสงส์แก่ผู้ถวายให้เป็นผู้มีผิวพรรณงามนั่นก็คือ ดอกบวบขม ตำนานเล่ากันมาว่า เมื่อพุทธกาล แต่ว่าหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็มีอุบาสิกาชาวเมืองราชคฤห์นางหนึ่งประสงค์จะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ จึงได้ถือดอกบวบขมไป ๔ ดอก จะไปยังพระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่ว่ายังไม่ทันได้ไปถึงก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนวิ่งสวนทางมาขวิดเอาถึงแก่ความตาย นางนั้นได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนชั้นดาวดึงส์ทันที วันหนึ่งท้าวสักกะเทวราชเสด็จประพาสอุทยานได้พบนางเทพธิดานั้นมีรัศมีงดงามกว่านางเทพอัปสรอื่น จึงได้ตรัสถามถึงกรรม (การกระทำ) ที่นางเคยทำไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์ เทพธิดาทูลว่า นางได้ทำดอกบวบขมซึ่งไม่มีใครปรารถนาเพราะมีรสขมจำนวน ๔ ดอก มุ่งหน้าจะไปบูชาพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในพระสถูปด้วยจิตใจที่ผ่องใส ไม่ทันระวังถูกแม่โควิ่งมาชนถึงแก่ความตายเสียก่อน นางเทพธิดากล่าวว่า ถ้าข้าพระองค์ไปถึงและได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระศาสดาด้วยดอกบวบขมสมประสงค์ ทิพยสมบัติจักเกิดแก่ข้าพระองค์ยิ่งกว่านี้ เล่าให้ฟังอย่างนี้วันมาฆบูชาใครที่จะไปทำบุญเวียน-เทียนที่วัดที่มีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ และอยากมีผิวพรรณสวยในชาติต่อไป ก็น่าจะลองหาดอกบวบขมไปบูชาด้วย โดยถึงแม้จะไม่เห็นผลทันที แต่ก็จะได้ความอิ่มใจ สบายใจ
เรียบเรียงจาก
- หนังสือวันสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
- วันมาฆบูชาของพิสิฐ เจริญสุข : หนังสือสายตรงศาสนา : ๒๕๔๘
- งามด้วยสมุนไพรของตรีสุคนธ์ : นิตยสารกุลสตรี : ๒๕๔๖
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "วันมาฆบูชา" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ