วันฉัตรมงคล
ชาติไทยเรามีพิธีต้อนรับหรือรับรองฐานะความเป็นประมุขของชาติมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัยแล้ว ดังศิลาจารึกเรื่องพ่อขุนผาเมืองอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เป็นผู้ปกครองเมืองสุโขทัย เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ จึงได้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นให้ถูกต้องสมบูรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากพระมหากษัตริย์ที่ยังไม่ได้รับพระบรมราชาภิเษกนั้น ถือว่ายังเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน การขานพระนามก็จะใช้เพียง “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ยังไม่ใช้คำว่า “พระบาท”นำหน้า คำสั่งของพระองค์ก็จะยังไม่ใช้คำว่า “พระบรมราชโองการ” และที่สำคัญคือพระเศวตฉัตรก็จะมีเพียง ๗ ชั้น ต่อเมื่อใดทรงได้รับพระบรมราชาภิเษก ตามพระราชประเพณี มีพิธีอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตรขาว ๙ ชั้น) ณ พระมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง จึงจะถือว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ วันบรมราชาภิเษกมีความสำคัญยิ่งโดยนัยนี้ เมื่อถึงรอบปีที่วันบรมราชาภิเษกเวียนมาถึง ทางการจึงจัดให้มีพระราชพิธีฉลองวันดังกล่าว เรียกว่า “พระราชพิธีฉัตรมงคล” แต่เราเรียกกันทั่วไปว่า “วันฉัตรมงคล” วันฉัตรมงคลจึงย่อมต่างกันไปตามรัชกาลแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงได้รับพระบรมราชาภิเษก เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระราชาธิบดีโดยสมบูรณ์ในวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ จึงถือเอาวันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวัน “ฉัตรมงคล”
ที่มาที่ควรทราบ
แต่เดิมมา ไทยเรามีการจัดงานสมโภชเครื่องราชูปโภคในเดือนหกทางจันทรคติ โดยพนักงานฝ่ายหน้าและฝ่ายในพระบรมมหาราชวัง และไม่ได้ถือเป็นงานหลวง ยังไม่มีพระราชพิธีฉัตรมงคล จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จขึ้นครองราชย์ จึงได้ทรงมีพระราชดำริว่า วันบรมราชาภิเษกเป็นมหามงคลสมัย ประเทศทั้งหลายที่มีพระเจ้าแผ่นดินย่อมนับถือว่าวันนั้นเป็นวันนักขัตฤกษ์มงคลกาล ต่างก็จัดงานขึ้นเป็นอนุสรณ์ ส่วนประเทศของเรายังไม่เคยมีจึงควรจัดขึ้น แต่หากจะประกาศให้คนทั้งหลายว่าจะจัดงานวันฉัตรมงคลหรือวันบรมราชาภิเษก ผู้คนขณะนั้นยังไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจจะต้องทรงอธิบายยืดยาว จึงโปรดให้เรียกตามชื่อเก่าไปก่อนว่า “งานสมโภชเครื่องราชูปโภค” แต่ทำในวันคล้ายวันบรมราชาภิเษก โดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ รุ่งขึ้นอีกวันพระสงฆ์รับพระราชทานฉันที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าพระราชพิธีฉัตรมงคลเริ่มมีในสมัยรัชกาลที่ ๔ ต่อมา
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เพิ่มการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า มีการยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ชุมนุมถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชและเวียนเทียนสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ (เครื่องหมายแสดงความเป็นราชาธิบดี มี ๕ อย่าง ได้แก่พระมหาพิชัยมงกุฏ พระแสงขรรค์ชัย ธารพระกร วาลวิชนี และฉลองพระบาท รวมเรียกว่า “เบญจราชกกุธภัณฑ์”) ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้เพิ่มการพระราชกุศลทักษิณานุประทาน (การบำเพ็ญพระราชกุศลสนองพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช) ด้วย ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงาน ๓ วัน วันแรกตรงกับที่ ๓ พฤษภาคมจะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย วันที่ ๔ พฤษภาคม เริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล หัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น วันที่ ๕ พฤษภาคมอันเป็นวันฉัตรมงคลพระสงฆ์จะรับพระราชทานฉัน มีการสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ทหารยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ๒๑ นัด และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯ ทั้งจะโปรดเกล้าฯให้เปิดปราสาทพระเทพบิดรในพระบรมมหาราชวังให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปเข้ากราบถวายบังคมพระบรมรูปฯ ด้วย
วันฉัตรมงคลเวียนมาบรรจบครั้งใด ควรที่เรา ชาวไทยทุกคนจะได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงตรากตรำพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อประโยชน์สุขแก่เหล่าเรา “มหาชนชาวสยาม” สมดังปฐมบรมราชโองการที่ได้ให้ไว้ ณ วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั้น ทุกประการ
ที่มา - วันฉัตรมงคล : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
- ฉัตรมงคลรำลึก : สโมสรไลออนส์สากล กรุงเทพ แสงการพิมพ์ ๒๕๒๘
- พระนิพนธ์เรื่อง “บรมราชาภิเษก” ของพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
บทความพิเศษประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "วันฉัตรมงคล" ผลิตโดย งานบริการการผลิต ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ ฝ่ายออกอากาศวิทยุกรุงเทพ