โลกและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
1. การหมุนและการเคลื่อนที่ของโลก
โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 1 ดวง โลกและดวงจันทร์เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ โลกจะหมุนรอบตัวเอง และเคลื่อนที่หรือโคจรรอบดวงอาทิตย์
1. การหมุนรอบตัวเองของโลก ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ โลกจะเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ไปด้วย ทำให้โลกซีกหนึ่งที่ได้รับแสงอาทิตย์เกิดเวลากลางวัน ซึ่งกินเวลา 12 ชั่วโมง ส่วนโลกอีกซีกหนึ่งที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์จะมืดเกิดเวลากลางคืน ซึ่งกินเวลา 12 ชั่วโมง
ดังนั้นการหมุนรอบตัวเองของโลก 1 รอบ กินเวลา 24 ชั่วโมง หรือ 1 วัน ทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน
2. การโคจรรอบดวงอาทิตย์ของโลก โลกจะเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ตลอดเวลาขณะเดียวกันโลกก็หมุนรอบตัวเอง โดยหมุนจากตะวันออกไปตะวันตก โดยที่แกนของโลกเอียงทำมุม 23 1/2 องศาตลอดเวลา การโคจรรอบดวงอาทิตย์ของโลกทำให้บริเวณต่าง ๆ ได้รับแสงสว่างและความร้อนไม่เท่ากัน ทำให้เกิดฤดูกาลสับกันไปในเวลา 1 ปี หรือ 365 วัน เมื่อรอบโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ
2. ตะวันอ้อมข้าว
ตะวันอ้อมข้าว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยลักษณะที่ดวงอาทิตย์จะปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โคจรอ้อมลงสู่ขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในฤดูหนาว ซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าว
3. น้ำขึ้น - น้ำลง
ในแต่ละวันจะสังเกตเห็นว่า ระดับน้ำทะเลมีปรากฏน้ำขึ้น - น้ำลง ซึ่งมีสาเหตุจากการที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกและรอบดวงอาทิตย์ และเนื่องจากดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด แรงดึงดูดของดวงจันทร์จึงมีอิทธิพลต่อโลก ทำให้เกิดปรากฏการร์น้ำขึ้น - น้ำลง เมื่อดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกับโลกและดวงอาทิตย์ ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 14 - 15 ค่ำของทุกเดือน บริเวณ ข และ ง บนโลกจะโป่งออก ทำให้บริเวณนี้น้ำทะเลขึ้น ส่วนบริเวณ ก และ ค บนโลก พื้นน้ำจะลดระดับลง
ถ้าดวงจันทร์โคจรไปอยู่ในตำแหน่งตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 7 - 8 ค่ำ และวันแรม 7 - 8 ค่ำของทุกเดือน จะทำให้บริเวณ ก และ ค บนโลกพื้นน้ำโป่งออก ทำให้บริเวณที่น้ำขึ้น ส่วนบริเวณ ข และ ง บนโลกเกิดน้ำลง ในแต่ละวันเราจะเห็นน้ำทะเลขึ้นและลง 2 เวลา
4. ข้างขึ้น - ข้างแรม
เป็นปรากฏการณ์ที่คนบนโลกมองเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละคืน ซึ่งเกิดจากการที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกและโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จะหันด้านเดียวเข้าหาดวงอาทิตย์ และสะท้อนแสงอาทิตย์ และสะท้อนแสงอาทิตย์มายังโลก ทำให้คนบนโลกมองเห็นแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ในแต่ละเวลาไม่เหมือนกัน และเกิดเป็นปรากฏการณ์ข้างขึ้นและข้างแรม
5. สุริยุปราคา - จันทรุปราคา
1. สุริยุปราคา เป็นปรากาฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากโลก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยดวงจันทร์ทอดมาบังโลก คนบนโลกที่อยู่บริเวณเงาดวงจันทร์จะมองเห็นดวงอาทิตย์มืดไปชั่วขณะ
2. จันทรุปราคา เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากโลก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยมีโลกอยู่ตรงกลางระหว่างดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ เงาของโลกจะทอดไปบังดวงจันทร์ ทำให้คนบนโลกที่อยู่ด้านเดียวกับดวงจันทร์จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไปชั่วขณะ
ควรรู้ - ควรจำ
สึนามิ (Tsunami) เป็นธรณีพิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลมาจากการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในท้องทะเลหรือมหาสมุทร ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่ชายฝั่งอย่างรวดเร็ว สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่ออาคารบ้านเรือน ทรัพย์สิน และชีวิตผู้คน
สำหรับคลื่นสึนามิที่ถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ของไทย นอกจากจะทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากแล้ว ยังส่งผลให้สภาพแวดล้อมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป เช่น ชายหาดเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวปะการังได้รับความเสียหาย เป็นต้น
6. ปรากฏการณ์โลกร้อน
ปรากฏการณ์โลกร้อนหรือภาวะโลกร้อน คือ ปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและผืนมหาสมุทรสูงขึ้น โดยมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ
ปรากฏการณ์โลกร้อนถือเป็นผลพวงจากการมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุให้รังสีความร้อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามาถูกกักไว้ในโลก โดยไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปได้ หรือที่เรียกว่า ภาวะเรือนกระจำ การเกิดขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากกระบวนการเผาไหม้ของการใช้เชื้อเพลิง ฟอสซิล อาทิ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน เป็นต้น ทั้งจากกิจกรรมการขนส่งและการผลิตกระแสไฟฟ้า แนวทางหนึ่งของการลดปริมาณการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คือ ลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น อาทิ พลังงานชีวมวล พลังงานน้ำ พลังลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากเซลล์ เชื้อเพลิง พลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการส่งเสริมใช้พลังงานหมุนเวียนจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีมารองรับ ซึ่งปัจจุบันการใช้พลังงานหมุนเวียนบางประเภทยังมีต้นทุนที่แพงกว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานเซลล์เชื้อเพลิง) มีกระแสต่อต้านจากมวลชนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานน้ำจากการสร้างเขื่อน) และปัญหาความเพียงพอของวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิง (เช่น พลังงานชีวมวล ซึ่งใช้วัตถุดิบร่วมกับภาคเกษตร)
มหันตภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกอยู่ขณะนี้ คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ มีปริมาณมหาศาลที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกหนาขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ ก็จะส่งผลให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลกสูงขึ้นถึงระดับอันตราย ผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและธารน้ำแข็งบนภูเขาทั้งหมดทั่วโลกค่อย ๆ ละลายลงเรื่อย ๆ และอาจจะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
1. สาเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อน
สาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อนเกิดจากการกระทำของมนุษย์และทางธรรมชาติ เช่น การใช้พลังงานต่าง ๆ ของมนุษย์ในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ และเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น
2. ผลกระทบที่เกิดขึ้น
1) ต่อสภาพภูมิอากาศ
- ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น
- ทำให้ความชื้นในอากาศเพิ่มมากขึ้นเนื่องด้วยการระเหยของน้ำที่มากขึ้น
- ทำให้เกิดความไม่แน่นอนของอุณหภูมิ
2) ต่อทะเลและมหาสมุทร
- ทำให้ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งตามทั่วโลกละลาย
- ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น
- ทำให้อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้น
- ทำให้การเปลี่ยนสภาวะของน้ำเป็นกรด
- ทำให้เกิดการหยุดไหลของกระแสน้ำอุ่น
3. การแก้ปัญหา
ใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ไม่กินพลังงานไฟฟ้า ใช้หลอดไฟที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ควบคุมการเกิดของประชากราที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องใช้พลังงานมากขึ้น แยกขยะ นำของเก่ามาใช้ใหม่ได้ ใช้รถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน
ที่มา: https://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/1927-00/