Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

เส้นทางการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ 3 วัน

Posted By ผ้าเช็ดหน้า | 23 เม.ย. 63
4,037 Views

  Favorite

เมื่อพูดถึงคำว่าพิพิธภัณฑ์ วัยรุ่นอย่างเรา ๆ อาจจะไม่อิน หลายคนคิดว่าการเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องของคนแก่ แต่จริง ๆ แล้วคนชิค ๆ คูล ๆ ก็ไปเที่ยวได้นะ ซึ่งในกรุงเทพฯ ก็มีพิพิธภัณฑ์อยู่มากมายที่รอให้เราไปเยือน แต่ละที่นอกจากจะถ่ายรูปสวยแล้ว ยังให้ความรู้ใหม่ ๆ อีกด้วย และนี่ก็คือ 6 พิพิธภัณฑ์สุดเก๋จาก 3 ย่านในกรุงเทพฯ ไปง่ายใกล้ ๆ แค่นี้เอง หยุดศุกร์-เสาร์-อาทิตย์เมื่อไรก็วางแผนไปตะลุยกันได้เลย

 

 

 

ถึงแม้ตอนนี้สถานการณ์ไวรัสโคโรนาจะไม่ค่อยเป็นใจและทำให้พิพิธภัณฑ์หลาย ๆ แห่งปิดให้บริการ ทาง aomLIFE และ Thailand Museum Pass หวังว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ผู้อ่านจะได้ไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ทั้งหกแห่ง และขอให้ทุกท่านดูแลรักษาสุขภาพให้ห่างไกลไวรัสกันในช่วงนี้

 

 

 

วันแรกเราจะออกเดินทางกันไปที่ย่านเมืองเก่ารัตนโกสินทร์ เพื่อเยี่ยมชม 2 สถานที่สำคัญ คือ “พิพิธบางลำพู” และ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” โดยที่แรกที่เราจะไปเยือนกันคือพิพิธบางลำพูครับ ที่นี่แต่เดิมคือโรงพิมพ์คุรุสภา (โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช) ที่ทางหน่วยงานกรมธนารักษ์ได้บูรณะให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ เล่าเรื่องและให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ สะท้อนผ่านวิถีชุมชนบางลำพูดั้งเดิม ถ้าอยากรู้ว่าคนไทยในสมัยก่อนมีความเป็นอยู่อย่างไร ต้องห้ามพลาดครับ


เราเริ่มเที่ยวชมที่อาคารปูน 2 ชั้นกันก่อน ไฮไลต์ของนิทรรศการส่วนนี้คือเราจะได้รู้ประวัติความเป็นมาของเกาะรัตนโกสินทร์ เริ่มตั้งแต่การสร้างกำแพงพระนคร เราจะได้เห็นแนวกำแพงเมืองจำลอง กันแบบชัด ๆ และยังได้รู้จักกับป้อมเก่าแก่ทั้ง 14 แห่ง ที่ปัจจุบันเหลือเพียง 2 แห่งเท่านั้น กิมมิคเก๋ ๆ อยู่ที่เราสามารถมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วจะเห็นป้อมพระสุเมรุได้เลยทันที เพียงแค่ชั่วโมงเดียวที่เดินชม ก็รู้สึกเต็มอิ่มเหมือนได้เดินทางย้อนเวลาไปเมื่อ 200 กว่าปีก่อนเลยครับ จากนั้นเราก็พาตัวเองไปยังอาคารไม้ที่อยู่ถัดไป ที่เราจะได้รู้จัก “บางลำพู” กันทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมาของย่านชุมชน ชีวิตชาวบางลำพูในอดีต ตรอกซอกซอยต่าง ๆ ของดีของเด็ด แหล่งบันเทิงยามค่ำคืน เรียกได้ว่าพอเที่ยวชมที่พิพิธบางลำพูเสร็จแล้ว ก็สามารถออกไปหาของกินอร่อย ๆ ได้เลย อย่างร้านข้าวต้มวัดบวร ที่เปิดมา 60 กว่าปี ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร กับเมนูอาหารแต้จิ๋วสูตรเด็ด เป็ดพะโล้ ปลาจะละเม็ดนึ่งน้ำแดง ต้มเกี้ยมบ๊วยหมู ผัดผักบุ้ง กินคู่กับข้าวต้มร้อน ๆ ฟินสุด ๆ เลยครับ บริเวณด้านหลังร้านจะเป็นจุดชมวิวคลองบางลำพูอีกด้วย

 

พิพิธบางลำพู 
ตั้งอยู่ที่ถนนพระสุเมรุ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
โทร: 0-2281-0345-51 ต่อ 1223, 1224
เปิดทำการ: วันอังคาร-วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.
วันเสาร์-วันอาทิตย์ (และวันหยุดราชการอื่น) เวลา 10.00-18.00 น.
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ และชาวต่างชาติ 30 บาท
เด็ก (อายุ 10-18 ปี) 10 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี/ผู้สูงอายุสัญชาติไทย อายุ 60 ปี ขึ้นไป/ผู้พิการทุกประเภท/นักบวชทุกศาสนา เข้าชมฟรี
ทั้งนี้บุคคลทั่วไป สามารถใช้บัตร Thailand Museum Pass เข้าชมได้ฟรี

 

 

 

 

ปิดท้ายการเที่ยววันแรกในย่านเมืองเก่ารัตนโกสินทร์กันที่ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ ที่ต้องลืมภาพการเที่ยวพิพิธภัณฑ์แบบเดิมอย่างการเดินชมภาพหรือวัตถุที่ตั้งไว้นิ่ง ๆ ได้เลยครับ เพราะที่นี่เน้นให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม ด้วยมัลติมีเดียทันสมัย ทั้งหุ่นจำลอง แอนิเมชัน สื่อมัลติทัช สื่อ 4 มิติ ในลักษณะอินเตอร์แอคทีฟ เซลฟ์ เลิร์นนิ่ง รับรองว่าสนุกตื่นเต้น ถูกใจวัยรุ่นแน่นอน


ภายในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ แบ่งออกเป็น 9 ห้องจัดแสดง เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ความเป็นมา ลักษณะพื้นที่ ย่านชุมชนต่าง ๆ ทั้ง 12 แห่งที่รวบรวมมาไว้ในที่เดียว สถานที่ท่องเที่ยว งานพระราชพิธีต่าง ๆ ห้องสมุดรวบรวมหนังสือหายาก ฯลฯ โดยแต่ละห้องก็จะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเล่าเรื่อง อย่างเช่นการจำลองเหตุการณ์พานั่งเรือล่องไปตามคลองเสมือนจริง เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตในอดีตของคนไทยริมสองฝั่งน้ำ ประกอบด้วยเสียงเพลงฉ่อย ได้ความรู้แบบเพลิน ๆ ดีครับ ก่อนกลับอย่าลืมแวะร้านครัวอัปษร สาขาถนนดินสอ ที่ต้นตระกูลของทางร้านมีโอกาสได้ทำเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) เมนูที่ห้ามพลาดคือแกงเหลืองไหลบัวกุ้งสด ปูผัดพริกเหลือง เขียวหวานลูกชิ้นปลากรายผัดแห้ง

 

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์
ตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง (ใกล้กับวัดราชนัดดาราม) เขตพระนคร กรุงเทพฯ
โทร: 0-2621-0044
เปิดทำการ: ทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น. (ยกเว้นวันจันทร์) 
โดยเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ ทุก 20 นาที รอบแรก เวลา 09.20 น. และรอบสุดท้าย เวลา 15.00 น.
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ราคา 100 บาท (ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ)
เด็ก (ความสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร) เข้าชมฟรี
นักเรียน/นักศึกษา (ไม่เกินระดับปริญญาตรี) ในเครื่องแบบ/แสดงบัตรเข้าชมฟรี
ภิกษุ/สามเณร/ผู้พิการ/ผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปีขึ้นไป) เข้าชมฟรี
ทั้งนี้บุคคลทั่วไป สามารถใช้บัตร Thailand Museum Pass เข้าชมได้ฟรี

 

 

 

สำหรับการท่องเที่ยวในวันที่ 2 นี้ เราจะไปกันที่ย่านชุมชนเทเวศน์ กับ 2 พิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ คือ “ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย” และ “พิพิธภัณฑ์สักทอง” โดยตอนนี้เราอยู่กันที่ตึกสวยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่นี่คือศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในอดีตเคยเป็นอาคารโรงพิมพ์ธนบัตร บางขุนพรหม ที่ถูกเนรมิตให้มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยมีอายุครบ 75 ปี โดยพัฒนามาเป็นศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทยครับ

 

เมื่อก้าวเข้ามาในพื้นที่จัดแสดงก็ต้องร้องว้าวเลยครับ เพราะเราได้เห็นต้นกำเนิดเหรียญกษาปณ์ของโลก นั่นคือ “เหรียญลิเดีย” ที่มีอายุ 2,600 ปี มาจัดแสดงให้ได้ชมกันแบบใกล้ ๆ และยังมีเหรียญและเงินต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคทวารวดี ศรีวิชัย สุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี มาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ และอีกหนึ่งไฮไลต์คือด้วยความที่อาคารนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นโรงพิมพ์ธนบัตรของประเทศ จึงมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น สามารถเข้าออกได้ทางเดียว ที่ห้องใต้ดินนี้จะมี “ประตูความมั่นคง” ที่ใช้เก็บสมบัติของชาติ ซึ่งบานเดิมที่เคยใช้จะต้องใช้กุญแจ 3 ดอก โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยแยกกันเก็บ แต่ละคนก็จะมีรหัสที่ใช้กับกุญแจแต่ละดอกที่ไม่เหมือนกัน เมื่อประเทศไทยมีเหตุการณ์ไม่สงบ เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คนนี้ก็จะต้องแยกย้ายกันซ่อนตัว เพื่อไม่ให้มีใครเปิดประตูความมั่นคงบานนี้ได้ ฟังดูตื่นเต้นเหมือนหนังสายลับเลยใช่ไหมล่ะครับ เที่ยวชมเสร็จแล้วก็ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันที่ร้านเม้งราชาข้าวผัด ที่อยู่บนถนนวิสุทธิกษัตริย์ กับสารพัดเมนูทั้งข้าวผัดปู ข้าวผัดแหนม ข้าวผัดกุนเชียง ข้าวผัดทูน่า สั่งกันคนละจานสองจาน แล้วแชร์กับเพื่อน ๆ รับรองอิ่มแปล้ครับ

 

ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย 
ตั้งอยู่ที่ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ
โทร: 0-2356-7766 กด 2
เปิดทำการ: วันอังคาร-วันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์ และวันหยุดตามประเพณีของสถาบันการเงิน) เวลา 09.30-20.00 น. 
มีเจ้าหน้าที่นำชม วันละ 4 รอบ รอบเช้า เวลา 10.30 น. รอบบ่าย เวลา 14.00 น. 15.00 น. และ 16.00 น. 
สามารถใช้บัตร Thailand Museum Pass เข้าชมได้ฟรี
 
 

 

ปิดท้ายการท่องเที่ยววันที่ 2 ของย่านชุมชนเทเวศน์กันที่ “พิพิธภัณฑ์สักทอง” ครับ ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ซึ่งที่นี่คือพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และเป็นแห่งแรกที่มีการจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 19 พระองค์ ให้สักการะบูชากันด้วย

 

เรือนไทยทรงปั้นหยาแห่งนี้ ทั้งหลังทำด้วยไม้สักทองอายุเกือบ 500 ปี สวยงามอลังการมากครับ ภายในมีเสาไม้สักมากถึง 59 ต้น ที่นี่มีการจัดแสดงพระพุทธรูปโบราณ และยังเป็นที่ประดิษฐานของพระสยามเทวาธิราชองค์จำลอง พระคู่บ้านคู่เมืองของไทย และพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาให้สักการะกันด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์อย่างที่กล่าวไปตอนต้น นั่นก็คือหุ่นขี้ผึ้งของสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขนาดเท่าพระองค์จริง ทั้ง 19 พระองค์ พร้อมประวัติและคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา ให้ได้ทราบเป็นความรู้อีกด้วย อิ่มบุญแล้วก็ถึงเวลาอิ่มท้อง ที่ร้านผัดไทยเจ๊น้อย เจ้าดังแห่งย่านเทเวศร์ ตั้งอยู่ในซอยวงศ์ภักดี ลองสั่งผัดไทยกุ้งสด เส้นเหนียวนุ่ม ไม่ชุ่มน้ำมัน ให้เครื่องแน่น อร่อยแบบไม่ต้องปรุงเลยครับ

 

พิพิธภัณฑ์สักทอง 
ตั้งอยู่ที่ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ (ภายในวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร)
โทร: 0-2282-5793
เปิดทำการ: ทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น.
ค่าเข้าชม: บุคคลทั่วไป 30 บาท มาเป็นหมู่คณะ 5 ท่านขึ้นไป ท่านละ 15 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและเด็กเข้าชมฟรี
นอกจากนี้หากมีบัตร Thailand Museum Pass ก็สามารถเข้าชมได้ฟรี
 
 

 

สถานที่ต่อมาของทริปนี้ เราอยู่ที่อาคารพระมหามณฑปฯ วัดไตรมิตรวิทยาราม ที่นี่เกิดจากชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ร่วมกับกลุ่มประชาคมนักธุรกิจเขตสัมพันธวงศ์ และวัดไตรมิตรวิทยาราม ได้สร้างพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (หลวงพ่อทองคำ) ขึ้นที่วัดไตรมิตรฯ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสมหามงคลที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี สถานที่แห่งนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น “ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช” เลยล่ะครับ

 

ไฮไลท์ของที่นี่คือการจัดแสดงวิถีชีวิตและการกำเนิดของชุมชนจีนแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2325-2394 อย่างที่เราทราบกันดีว่าชาวจีนจะขึ้นชื่อเรื่องการค้าขาย เราก็จะได้เห็นหุ่นจำลองพ่อค้าชาวจีน ร้านค้าแบบจีนโบราณ ทุกอย่างเหมือนจริงมาก ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในอดีตเลยครับ รวมทั้งยังมีนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับชุมชนจีน การค้าสำเภาในสมัยรัตนโกสินทร์ เยาวราชวันนี้ ฯลฯ ทำให้เรารู้จักกับย่านชุมชนชาวจีนมากขึ้น ก่อนกลับยังสามารถแวะสักการะพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเป็นสิริมงคลได้อีกด้วย

 

นอกจากนี้ เรายังแวะไปเที่ยวชม “ไปรษณีย์กลางบางรัก” ที่ทำการไปรษณีย์ที่สวยที่สุดในประเทศไทย และเป็นอดีตอาคารที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ มีอายุเก่าแก่นับ 80 ปี ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก ถ่ายรูปเช็คอินเก๋ ๆ เสร็จแล้ว ก็เดินไปชิมอาหารจีนเจ้าดังที่เปิดมากว่า 60 ปี ที่ร้านนิวเฮงกี่ ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ระหว่างซอย 39 กับ 41 ได้เลยครับ แอบกระซิบว่าเมนูเนื้อผัดน้ำมันหอย กับซี่โครงเต้าซี่จานร้อน คือดีงามมาก ๆ ได้ทั้งอาหารสมอง แถมท้องก็อิ่มอีกต่างหาก 

 

วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร 
ตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
โทร: 08-9002-2700, 0-2623-1229
เปิดทำการ: วันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 08.00-17.00 น.
ไม่เก็บค่าเข้าชมสำหรับคนไทย ชาวต่างชาติกราบพระทองคำ 40 บาท ชมนิทรรศการและศูนย์ประวัติศาสตร์ 100 บาท (บัตรรวม 140 บาท)
ผู้ถือบัตร Thailand Museum Pass สามารถเข้าชมได้ฟรี
 
 

 

ปิดท้ายทริปนี้กันที่พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งสาว ๆ ที่ชอบของสวยงาม หรือคนที่จะเรียนต่อเกี่ยวกับด้านอัญมณีจะต้องชอบที่นี่แน่นอนครับ สถานที่แห่งนี้อยู่ในการดูแลของสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องประดับแบบครบวงจร ตั้งแต่การกำเนิดอัญมณี การนำมาเข้าตัวเรือน จนกลายเป็นเครื่องประดับอันมีมูลค่า

 

ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยการแสดงการทำเหมืองอัญมณี วิธีการจำแนกประเภทของอัญมณี ขั้นตอนการเจียระไน การผลิตของเครื่องประดับ รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยผ่านทางวิดีทัศน์และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ช่วยในการสอน พร้อมทั้งชมแร่และอัญมณีหายากซึ่งจัดแสดงแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น สวยงามและน่าประทับใจมากครับ เที่ยวชมเสร็จแล้วท้องก็เริ่มร้อง เราก็เลยไปที่ร้านนายเม้งบะหมี่ปู เกี๊ยวกุ้งยักษ์ ที่อยู่ใกล้ ๆ กับอาคารสีลมคอมเพล็กซ์ แล้วสั่งบะหมี่แห้งเกี๊ยวกุ้งปูมากินระงับความหิว เส้นบะหมี่เหลืองเหนียวนุ่ม โรยหน้าด้วยเนื้อปูม้า เกี๊ยวชิ้นโตสอดไส้กุ้งทั้งตัว อร่อยสุด ๆ เลยครับ ปิดท้ายทริป 3 วัน ตะลุย 6 พิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพฯ ได้อย่างสวยงาม ส่วนทริปหน้าเราจะไปเที่ยวกันที่ไหน อย่าลืมติดตามชมนะครับ

 

พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ 
ตั้งอยู่ที่อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ชั้น 2 ถนนสีลม
แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 
โทร. 0-2634-4999 ต่อ 312
เปิดทำการ: วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 9.30-17.00 น. (หยุดทุกวันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์
และวันหยุดตามประกาศของสถาบัน)
ค่าเข้าชม: บุคคลทั่วไป 80 บาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 200 บาท นักเรียน/นิสิต/นักศึกษา 20 บาท เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี/พระภิกษุ/ผู้พิการ/มัคคุเทศก์ (แสดงบัตรประจำตัวที่ออกโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) เข้าชมฟรี
ผู้ที่ถือบัตร Thailand Museum Pass สามารถเข้าชมได้
เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • ผ้าเช็ดหน้า
  • 1 Followers
  • Follow