Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

HIV และ AIDS แตกต่างกันอย่างไร

Posted By Amki Green | 21 ม.ค. 62
6,137 Views

  Favorite

เป็นเวลาหลายสิบปีนับตั้งแต่ที่โรคเอดส์ (AIDS) ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก แต่ผู้คนจำนวนมากยังคงสับสนและไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างคำว่า HIV และ AIDS ได้ ซึ่งสองคำนี้มักถูกใช้สลับกันจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดบ่อยครั้ง ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันค่ะ

 

HIV มาจากคำว่า Human immunodeficiency virus เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้ว จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายล้มเหลว การติดเชื่อ HIV จึงอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากระบบภูิคุ้มกันของร่างกายนั้นมีหน้าที่ในการป้องกันและทำลายเชื้อโรค ไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายและเกิดโรคต่าง ๆ ได้ โดยเกิดจากการรวมตัวระหว่างเซลล์ที่ทำหน้าที่พิเศษและโปรตีน เช่น antibodies และเมื่ออยู่รวมกันระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่ในการกำจัดแบคทีเรีย ไวรัส หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิดโรค

 

ส่วนคำว่า AIDS ย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency Syndrome เป็นสภาวะหรือโรคนั่นเอง  ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ HIV โดยระบบภูมิคุ้มกันของผู้ที่มีอาการของโรคเอดส์จะถูกทำลาย ซึ่งทำให้พวกเขามีอาการป่วยที่ร้ายแรงกว่าคนปกติ เนื่องจากภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำงานได้

 

การติดเชื้อ HIV สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ

1. Acute HIV Infection

เป็นระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ HIV และจะเริ่มแสดงอาการเมื่อได้รับเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยมักมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัด เช่น มีไข้ ปวดหัว มีผื่นขึ้น เป็นต้น

 

2. Chronic HIV Infection หรือ Clinical latency

เชื้อ HIV จะมีการเพิ่มจำนวนในร่างกายแต่ยังมีจำนวนไม่มาก คนที่อยู่ในระยะนี้จะไม่มีอาการของโรคเอดส์ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง การติดเชื้อ HIV ในระยะนี้ก็จะพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์ได้ภายในระยะเวลา 10 หรือมากกว่านั้น หรือบางคนอาจจะใช้เวลาน้อยกว่า 10 ที่จะแสดงอาการของโรค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลด้วย

 

3. AIDS

เป็นระยะที่รุนแรงที่สุดของการติดเชื้อ HIV เนื่องจากเชื้อ HIV ได้ทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้อีกต่อไป คนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์ จะมีปริมาณของ CD4 cell (สารโปรตีนบนเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน) น้อยกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องผู้คนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกประมาณ 3 ปี

 

ดังนั้น โรคเอดส์ก็คือ การติดเชื้อ HIV ระดับ 3 ซึ่งเป็นสภาวะที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง โดยขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนั้น ๆ ด้วย อาการของการติดเชื้อ HIV ระดับ 3 จะพัฒนาไปถึงขั้นการติดเชื้ออื่น ๆ ในคน เนื่องจากในขั้นนี้มีการทำลายระบบภูมิคุ้มกันไปแล้ว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาการแบบนี้เรียกว่า การติดเชื้อแบบฉวยโอกาส ได้แก่ โรควัณโรค โรคปอดบวม ซึ่งจะเกิดการติดเชื้อและแสดงอาการของโรคเมื่อร่างกายเราอ่อนแอ นอกจากนี้มะเร็งบางชนิดก็สามารถเกิดได้ขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

 

แต่ทุกคนไม่ต้องตกใจไป เชื้อ HIV ไม่ได้จะพัฒนาไปสู่ระดับ 3 เสมอ ในความเป็นจริงแล้ว มีคนมากมายที่มีเชื้อ HIV ในร่างกายและสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ได้พัฒนาไปเป็นโรคเอดส์ เนื่องจากมีการวิจัยและพัฒนาวิธีในการรักษา ซึ่งทำให้บุคคลที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายมีอายุขัยใกล้เคียงกับคนปกติ

ภาพ : Shutterstock

 

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนคงสามารถบอกความแตกต่างระหว่าง HIV และ AIDS ได้อย่างถูกต้องและได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับโรคเอดส์มากยิ่งขึ้น หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกคนได้รับเนื้อหาสาระที่ต้องการและเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคตนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Amki Green
  • 14 Followers
  • Follow