Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ไข่มุก The Voice พบความสุขใจกับอาสากู้ภัย

Posted By Plook Magazine | 20 เม.ย. 61
7,960 Views

  Favorite

 

หลายคนอาจชื่นชอบ ‘ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช’ จากเพลงไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ที่เธอร้องบนเวที The Voice Thailand Season 4 แต่ถ้าให้ถอดบทบาทนักร้องเอาไว้ ไข่มุกนิยามตัวเองไว้ว่า ‘กู้ชีพ-กู้ภัยของพระราชา’ สั้น ๆ ง่าย ๆ รับรู้ได้ถึงความภูมิใจที่เธอมีต่องานอาสา

ถึงแม้ว่าที่มาที่ทำให้เธออาสามาเป็นกู้ภัยจะเศร้า แต่เธอก็พยายามเปลี่ยนจุดนั้นให้เป็นพลังงานบวกและสื่อสารถึงเรื่องของชีวิต ความตาย และความไม่ประมาทให้คนรอบข้างได้ตระหนัก ยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอคมคายในความละเอียดเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากการลงไปคลุกคลีกับความเป็นและความตายตลอดหลายปีที่ผ่านมาในฐานะอาสากู้ชีพ-กู้ภัยของพระราชา 

 

 

ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช

 

ความสามารถในการร้องเพลงของคุณมาจากไหน 

เราว่าได้มาจากพ่อ เพราะพ่อเคยเป็นนักร้องลูกทุ่งมาก่อน เราไม่เคยฝึกร้องเพลงหรือมีคนมาสอน แต่เราร้องเพลงได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ที่บ้านจะมีไมค์อยู่ตัวหนึ่ง ว่าง ๆ ก็จะร้องเพลงกัน พอโตหน่อยก็ไปร้องเพลงงานวันเด็กในชุมชน เราก็ชอบเพราะร้องแล้วได้ทิป แต่หลายคนอาจจะเถียงก็ได้นะว่าเสียงไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่เราก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าเราได้มาจากพ่อ 

 

แล้วคิดไหมว่าจะโตมาเป็นนักร้อง

เราไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นนักร้อง มันเหมือนกับว่าไม่มีเวลาว่างให้มานั่งคิดมากกว่า เราไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่มีหน้าที่แค่ต้องตั้งใจเรียน หรือมานั่งวางแผนชีวิตว่าจะเข้ามหา’ลัย คณะไหน โตไปจะทำอะไรเพื่อจะได้เงินเดือนเยอะ ๆ คือเราไม่เคยมีโมเมนต์แบบนี้เลย เพราะเรารอไม่ได้แล้ว ทุกวันคิดแค่ว่าจะหาเงินจากไหน เราเริ่มหาเงินใช้เองตั้งแต่ ม. 3 เพราะไม่อยากให้แม่เหนื่อยไปมากกว่านี้

 

ชีวิตที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่าโตขึ้นจะเป็นอะไรมันเป็นอย่างไร 

คือเราเห็นแม่ทำงานหนักตั้งแต่เด็ก ตัดขี้ด้าย ซักผ้าจนมือเน่า เราสัมผัสได้ถึงความเครียดของท่านเวลาที่เรากับพี่ชายต้องใช้เงิน เราก็เลยคิดว่าเรื่องโตขึ้นจะทำอะไรเอาไว้ก่อน ตอนนี้เราต้องหาเงินใช้เองให้ได้ก่อน แรก ๆ ก็ไปรำในงานศพกับครูได้วันละ 300 บาท แต่เรารำไม่สวยก็เลยเลิก แล้วก็ไปรับงานร้องเพลง ทำมาตั้งแต่ ม.ปลาย งานละ 1,000 บาท ช่วงเทศกาลก็จะได้ไปร้องหลายที่ บางที่ก็จ้างเต็มวันตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงเที่ยงคืน พอสิ้นเดือนมานับเงินแล้วได้เกือบสองหมื่นบาทก็ดีใจมาก

 

ตอนไป The Voice Thailand ตั้งใจกับเวทีนี้แค่ไหน 

ตั้งใจมาก เพราะเรารู้สึกว่าเวทีนี้จะเปลี่ยนชีวิตเรา ก่อนไปแข่งทำการบ้านเยอะมาก ศึกษาโค้ชทุกคนว่าใครชอบเพลงแนวลูกทุ่งบ้าง ถ้าเขากดทั้ง 4 คนเราจะเลือกใคร มโนไปเยอะมาก ซึ่งมันก็ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปจริง ๆ พ่อแม่อยากได้อะไร เราก็ซื้อให้ท่านได้ เรามีไมค์เป็นของตัวเอง มีแบ็คอัพเป็นของตัวเอง The Voice เปลี่ยนชีวิตเราไปเยอะมากเหมือนกันค่ะ

 

ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช

 


 

แต่คนก็สนใจคุณจากการเป็นกู้ภัยก่อนเรื่องเพลงอีก

ใช่ค่ะ เราว่ามันเป็นเรื่องของกระแสด้วยนะ ก่อนเพลงไสว่าสิบ่ถิ่มกันจะออกมา มีคนรู้จักเราเพราะว่าทำอาสากู้ภัย ตอนแรกเราก็งงว่า ร้องเพลงไปตั้งเยอะคนกลับไม่ค่อยสนใจเลย แต่พอมาทำกู้ภัยคนกลับให้ความสนใจมากกว่า (หัวเราะ) 

 

ทีมกู้ภัย

 

ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช


 

หลังจากมีชื่อเสียงแล้วได้ไปเป็นอาสากู้ภัยอยู่ไหม

เรายังทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน ไม่ใช่ว่าได้อันนี้มาแล้วต้องหยุดทำอันนั้น เราให้มันช่วยเหลือกัน คือเราหาเงินจากการร้องเพลง เพราะอยากซื้อรถกู้ภัยที่มีอุปกรณ์ครบไปบริจาคให้ได้สักคันหนึ่ง ซึ่งถ้าแบบดี ๆ เลยก็คันละล้านบาท แต่ในระหว่างที่เราหาเงินไปทำตรงนั้นแน่นอนว่าต้องเหนื่อยมาก ซึ่งการออกไปทำอาสากู้ภัยก็จะช่วยให้หายเหนื่อยได้ เพราะเราได้พลังบางอย่างจากการไปทำตรงนั้น มันเหมือนถ้ารู้สึกเครียด รู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ พอได้ไปช่วยคนปุ๊บ เราจะได้รีเซ็ตตัวเอง ได้ชาร์จพลังพร้อมกลับไปทำงานต่อ

 

ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช

 


 

คุณดูเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้ละเอียดดีนะ เป็นเพราะไปคลุกคลีกับความเป็นความตายของคนหรือเปล่า

เราว่าไม่ต้องมาทำกู้ภัยก็ใช้ชีวิตอย่างละเอียดได้เหมือนกันนะ อย่างถ้าบ้านไหนมีคนป่วยเขาก็จะเข้าใจว่า การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมันมีค่ามากเลยเพราะเขาได้ใกล้ชิดกับคนป่วย แต่ถ้าบ้านไหนมีคนป่วยระยะสุดท้าย เขาจะเข้าใจได้ว่า เวลาชีวิตของคนเรามันมีจำกัด เพราะเขากำลังจะเสียคนในครอบครัวไป ส่วนเราได้ไปสัมผัสกับชั่วโมงที่ความเป็นและความตายของคนเท่ากัน ยิ่งเวลาเกิดอุบัติเหตุนะ เราจะตระหนักได้เลยว่าต้องมีสติในทุกวินาทีของชีวิต ต้องมีสติมาก ๆ อย่าประมาทเด็ดขาด

 

ถึงเราจะไม่ประมาท คนอื่นก็ประมาทกับเราอยู่ดี

อันนี้ก็จริง มันดูเหมือนไม่มีอะไรปลอดภัยเลยนะ แค่ก้าวเท้าออกจากบ้านก็น่ากลัวแล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาไปไหนไกล ๆ คนจะชอบอวยพรกันเหรอว่าเดินทางปลอดภัยนะ แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วเรารอดปลอดภัยกลับบ้านไปกอดพ่อแม่ได้ มันไม่ใช่เพราะใครอวยพร ไม่ใช่เพราะพระหรือยันต์ช่วยเราไว้ด้วย แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ตรงนั้นเขารู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกต้อง 

 

คิดว่าคนไทยมีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลดีพอหรือยัง

เรายังไม่มีกันด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่มั้งคะ หลายคนจะชอบคิดว่าการปฐมพยาบาลเป็นหน้าที่ของหมอ พยาบาล หรือกู้ภัยเท่านั้น แต่คุณรู้ไหมว่าในระหว่างที่คนเจ็บนอนอยู่ตรงนั้นรอรถกู้ภัยหรือรถพยาบาลมารับ ทุกวินาทีที่รอมันเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตายของเขาเลยนะ ถ้าช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ เขาก็อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี เพราะฉะนั้นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นอะไรที่เราทุกคนควรทำกันได้ค่ะ

 

เคยเห็นการปฐมพยาบาลแบบไม่ถูกต้องบ้างไหม 

ไม่เคยเห็นแบบที่ไม่ถูกต้อง รู้แค่ว่าถ้าไม่มั่นใจว่าช่วยคนเจ็บได้จริงก็อย่าทำ เพราะเวลาอ่านเรื่องการปฐมพยาบาลในอินเทอร์เน็ตกับเวลาทำจริงมันไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่นะ หลายคนอาจไม่รู้ว่าแค่ปั๊มหัวใจ มันต้องใช้แรงมากแค่ไหน เราเห็นพี่เขาปั๊มหัวใจ เหงื่อไหลท่วมตัวเลยนะคะ เพราะมันต้องใช้แรงมาก 100 ครั้งต่อนาที แถมต้องปั๊มให้ลึก 3 นิ้ว คือร่างกายเราก็ต้องพร้อมในระดับหนึ่งด้วย อ่านพวกวิธีปฐมพยาบาลในอินเทอร์เน็ตก็ดีค่ะ แต่การได้ไปฝึกทำจริง ๆ หรือไปเข้าคอร์สเรียนจะทำให้เรามั่นใจว่าทำถูกต้องมากกว่า

 

แล้วส่วนตัวเชียร์ให้คนเข้ามาเป็นกู้ภัยไหม 

การเป็นกู้ภัยมันเสี่ยงนะคะ ในขณะที่เราทำเหตุอยู่กลางถนนก็อาจจะมีรถมาชนเราก็ได้ ชีวิตกู้ภัยเองก็เสี่ยงพอ ๆ กับคนทั่วไป ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องระวังอะไร เราอาจต้องระวังมากกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ สำหรับใครที่อยากมาทำงานอาสากู้ภัยเราแนะนำว่าให้โตหน่อยแบบดูแลตัวเองได้ ร่างกายแข็งแรง มีความรู้แล้วก็ไปถามจุดกู้ภัยใกล้บ้านว่าต้องทำยังไง ไปเข้าอบรมอย่างจริงจัง แต่ถ้าไปแล้วคิดว่าทำไม่ได้ กลัวเลือดก็ไปช่วยเก็บกระดูกศพไร้ญาติ เทกระจาด หรือทำแผลเล็ก ๆ แทนก็ได้

 

ในชีวิตประจำวันเราจะทำอะไรได้บ้างที่ผลลัพธ์มันไม่ต่างจากการทำอาสากู้ภัย 

ถ้าเจออุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินก็ช่วยโทร 1669 แจ้งเหตุที่เกิดขึ้น แล้วคุยกับคนเจ็บไปพลาง ๆ ให้กำลังใจเขา ตอนนี้หลายคนอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วจะโทรเบอร์ไหน ซึ่งมันเป็นเรื่องเบสิกที่เราควรรู้กันนะ หรือจะช่วยเหลือสัตว์ก็ได้ค่ะ เราว่าแก่นแท้ของการกู้ภัยคือช่วยคนที่เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งสัตว์เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างแท้จริง มันหาข้าวกินเองไม่ได้ เราคิดตื้น ๆ เบสิก ๆ เลยนะ เพราะฉะนั้นช่วยมันบ้าง เราว่าคนไทยไม่ใจดำกับคน แต่กับสัตว์ไม่แน่ 

 

จินตนาการไม่ออกอยู่ดีว่าการไปเก็บศพจะให้อะไรเราบ้าง

ถ้าใครได้ลองมาเก็บศพอย่างแรกที่เขาจะได้เรียนรู้เลยคือ ถ้าคุณเสียชีวิต ครอบครัวคุณจะเสียใจมากแค่ไหน และจะเข้าใจสัจธรรมของชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ เอาเข้าจริงพูดไปก็จินตนาการไม่ออกอยู่ดี ต้องลองมาทำ มาเจอกับตัวเองแล้วจะเข้าใจจริง ๆ

 

ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช

 

 

"หลายคนจะชอบคิดว่าการปฐมพยาบาลเป็นหน้าที่ของหมอ พยาบาล หรือกู้ภัยเท่านั้น
แต่คุณรู้ไหมว่าในระหว่างที่คนเจ็บนอนรอรถกู้ภัยมารับ
ทุกวินาทีที่รอมันเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตายของเขาเลยนะ"

 

 

เรื่อง : วัลญา นิ่มนวลศรี
ภาพถ่าย : ประวีร์ จันทร์ส่งเสริม 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Magazine
  • 3 Followers
  • Follow