โรคไอกรน (Pertussis) คือโรคติดต่อชนิดหนึ่ง เกิดจากระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูก คอ และท่อลม) ติดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการไออย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์ พบบ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุไม่เกิน 7 ปี เสียงการไอของโรคนี้จะแตกต่างไปจากการไออื่น ๆ โดยมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Whooping Cough คือ เป็นเสียงไอลึก ๆ สลับกับการไอเป็นชุด เนื่องจากผู้ป่วยหายใจไม่ทันหลังการไอ
โรคไอกรน เป็นโรคที่ติดต่อกันง่าย โดยเชื้อโรคจะแพร่กระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก และน้ำลายของผู้ป่วย หากเกิดขึ้นในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กยังมีภูมิต้านทานไม่แข็งแรงพอจึงรับเชื้อโรคไอกรนได้ง่าย ในเด็กทารก อาจจะไม่มีอาการไอ แต่มีหยุดหายใจและเขียว ซึ่งอาจะทำให้เสียชีวิตได้
เด็กจะมีน้ำมูกไหล รู้สึกแน่นจมูก ไอเล็กน้อยเหมือนเป็นหวัด ระยะนี้จะคงอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์
เด็กมีอาการไอรุนแรงติดกันแบบไม่มีจังหวะพัก และเมื่อไอเสร็จแล้วเด็กจะพยายามหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง เนื่องจากเด็กหายใจไม่ทัน ในเด็กเล็กอาจมีอาการเขียวเนื่องจากไอรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ ในระยะนี้เด็กจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว งอแงง่าย และมักร้องกวน โดยกินเวลาประมาณ 10-14 วัน
หลังจากผ่านระยะรุนแรง อาการไอของเด็กจะค่อย ๆ ลดลง ไม่รุนแรงเท่าระยะแรกที่เป็น และหายไปในเวลา 6-10 สัปดาห์
วัคซีนป้องกันโรคไอกรนสำหรับเด็ก มักฉีดเมื่อเด็กอายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี โดยวัคซีนไอกรนนี้เป็นวัคซีนพื้นฐานที่เด็กทุกคนต้องได้รับ โดยรวมอยู่ในกลุ่มคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน สำหรับเด็กโต อายุ 10-12 ปีก็สามารถฉีดวัคซีนนี้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้นกันได้เช่นกัน โดยหลังจากที่ฉีดแล้วควรกระตุ้นซ้ำทุก ๆ 10 ปี
อาการของโรคไอกรนในระยะแรกจะคล้ายคลึงกับอาการไข้หวัด คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กคลุกคลีหรืออยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการดังกล่าว หรือผู้ที่ไอจามโดยไม่ปิดปาก เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกได้รับเชื้อโรคที่อาจเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้หากจำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน อาจสวมหน้ากากป้องกันให้ลูกก่อนออกจากบ้าน ก็ช่วยป้องกันได้อีกทางหนึ่ง
สุขภาพที่แข็งแรงเป็นเกราะต้านทานโรคภัยชั้นดี คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลสุขภาพของลูกอย่างสม่ำเสมอ ให้ลูกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อปริมาณที่ร่างกายต้องกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เขามีสุขภาพที่แข็งแรง พร้อมต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆ
ปัจจุบันมีคำแนะนำใหม่สำหรับหญิงตั้งครรภ์อายุ 27 สัปดาห์ขึ้นไป (ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์) ควรได้รับการฉีดวัคซีนคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก (Tdap) กระตุ้น 1 เข็ม เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรนไปยังทารกในครรภ์