สำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 แห่งสยามประเทศ ที่ปวงชนชาวไทยทุกคนจะขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณไปตลอดกาล ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2560 ได้มีการสร้างพระเมรุมาศบนพื้นที่กว่า 40 ไร่ของท้องสนามหลวง โดยนายก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรม กรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งได้รับแนวคิดการจัดวางยอดมาจากพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งปลูกสร้างอื่นประกอบพระเมรุมาศที่ล้วนสวยงามสมพระเกียรติยิ่ง
"ท้องสนามหลวง" ซึ่งเป็นพื้นที่จัดสร้างพระเมรุมาศนั้น ถูกเรียกว่า "ทุ่งพระเมรุ" มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์มาตลอด โดยมีนัยเทียบเคียงกับเขาพระสุเมรุที่เป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล และเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าชื่อทุ่งพระเมรุนั้นไม่เป็นมงคล จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น "ท้องสนามหลวง" นับแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับการสร้างพระเมรุมาศในครั้งนี้เป็นไปตามคติความเชื่อจากพราหมณ์ที่ว่า พระมหากษัตริย์เป็นเทพที่จุติลงมาจากสวรรค์ เพื่อสั่งสมบารมี ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงเปรียบเสมือนสมมติเทพ ประกอบกับคติความเชื่อเรื่องเรื่องโลกแและจักรวาลในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นคัมภีร์ในพุทธศาสนาที่กล่าวถึงโลกทั้งสาม ได้แก่ สวรรค์ มนุษย์ และนรก โดยมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล และเป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ รวมถึงเหล่าทวยเทพ เทวดา มีภูเขาล้อมรอบ 7 ทิว เรียกว่า สัตบริภัณฑ์คีรี ตั้งอยู่กลางป่าหิมพานต์ ถัดจากเขาพระสุเมรุออกมา เป็นมหานทีสีทันดร และมหาทวีปที่ตั้งประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ บนยอดของเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 ใน 6 ชั้น (1. จตุมหาราชิกา 2. ดาวดึงส์ 3. ยามา 4. ดุสิต 5. นิมมานรดี 6. ปรนิมมิตวสวัตดี) และเมื่อพระมหากษัตริย์ผู้ดุจดั่งสมมติเทพเสด็จสวรรคต ถึงเวลาต้องกลับสู่สวรรค์ จึงมีการจำลองพระเมรุมาศให้เสมือนกับเขาพระเมรุเพื่อทำการส่งเสด็จ
พระเมรุมาศที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ เป็นพระเมรุมาศ 9 ยอด ตามรูปแบบเฉพาะของพระมหากษัตริย์ โดยมีพื้นที่ฐานเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 59.60 เมตร สูง 50.49 เมตร ประกอบด้วย บุษบกจำนวน 9 องค์ ได้แก่ องค์ประธานหรือบุษบกใหญ่ยอดปราสาท 7 ชั้นเชิงกลอน และรายล้อมด้วยบุษบกขนาดเล็ก จำนวน 8 องค์ คือ ซ่างและหอเปลื้องซึ่งอยู่ที่มุมทั้งสี่ สำหรับบุษบกใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ ส่วนบุษบกเล็ก ๆ ที่รายรอบอยู่นั้นเปรียบเสมือนสัตบริภัณฑ์คีรี
ในแต่ละชั้นของพระเมรุมาศ นอกจากจะมีบุษบกแล้ว ยังประกอบไปด้วยประติมากรรมที่มีความวิจิตรตระการตาที่ซ่อนปริศนาธรรมหรือความหมายในเชิงพุทธศาสนาเอาไว้ ซึ่งสรรค์สร้างโดยช่างฝีมือดีจำนวนมากด้วยความตั้งใจ เพื่อส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นครั้งสุดท้าย โดยประติมากรรมในแต่ละชั้น มีดังนี้
ลานอุตราวรรต เป็นพื้นรอบฐานของพระเมรุมาศ ประกอบด้วย สระอโนดาตซึ่งเป็นสระน้ำในป่าหิมพานต์ ตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่ของพระเมรุมาศ นอกจากนี้ยังมีสัตว์หิมพานต์ตระกูลต่าง ๆ รายล้อม ส่วนบริเวณทางขึ้นบันไดประดับด้วยสัตว์ในป่าหิมพานต์ 4 ชนิด ความสูง 108 เซนติเมตร ประจำอยู่ในทิศทั้งสี่ ทิศละ 1 คู่ ได้แก่
- ช้าง ประดับอยู่บริเวณทางขึ้นบันไดประจำทิศเหนือ
- สิงห์ ประดับอยู่บริเวณทางขึ้นบันไดประจำทิศตะวันออก
- โค ประดับอยู่บริเวณทางขึ้นบันไดประจำทิศใต้
- ม้า ประดับอยู่บริเวณทางขึ้นบันไดประจำทิศตะวันตก
ชั้นชาลาที่ 1 ประกอบด้วย คชสีห์และราชสีห์ ความสูง 108 เซนติเเมตร ประดับบันไดทั้งสี่ทิศ ทิศละ 1 คู่ ราวบันไดเป็นนาคเศียรเดียว สร้างตามศิลปะรัตนโกสินทร์โดยมีต้นแบบมาจากเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช รอบ ๆ เป็นประติมากรรมเทวดานั่งเชิญบังแทรก นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมท้าวจตุโลกบาลหรือจตุมหาราชทั้งสี่ ซึ่งเป็นเทวดาที่คอยปกปักรักษาโลกมนุษย์ในแต่ละทิศ โดยมีความสูง 200 เซนติเมตร ได้แก่
- ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร ยักษ์ผู้เป็นใหญ่ทางทิศเหนือ และคอยคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
- ท้าวธตรฐ เทพเจ้าแห่งคนธรรพ์ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศตะวันออก มือซ้ายถือพิณซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ มีเหล่าคนธรรพ์ซึ่งเป็นเทวดาจำพวกหนึ่งเป็นบริวาร
- วิรุฬหก ผู้เป็นใหญ่ทางทิศใต้ มีเทพกุมภัณฑ์เป็นบริวาร ปกครองเหล่าครุฑและนก
- ท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นใหญ่ทางทิศตะวันตก มีฝูงนาคเป็นบริวาร
ชั้นชาลาที่ 2 ประกอบด้วย ครุฑซึ่งมีความสูงประมาณ 200 เซนติเมตร ประดับบันไดทั้งสี่ทิศ ทิศละ 1 คู่ ในลักษณะยืนพนมมือ เปรียบเสมือนกำลังถวายสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ราวบันไดเป็นนาค 3 เศียร อิงแบบจากประติมากรรมนาคที่เตาวัดพระปรางค์ จังหวัดสิงห์บุรี ส่วนฐานของชั้นชาลานี้ประดับด้วยเทพชุมนุม 108 องค์ บริเวณมุมทั้งสี่ของชั้นชาลาที่ 2 มีบุษบกขนาดเล็กประจำอยู่มุมละ 1 องค์ เรียกว่า หอเปลื้อง ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่ พระโกศจันทน์ และอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี เช่น ดอกไม้จันทน์ ขันน้ำ
ชั้นชาลาที่ 3 ประกอบด้วย เทวดานั่งเชิญพุ่มและเทวดายืนเชิญฉัตร 7 ชั้น รวม 8 องค์ สูงประมาณ 185 เซนติเมตร เป็นประติมากรรมที่มีความเหมือนจริงโดยมีลวดลายประดับในแบบศิลปทวารวดี ศรีวิชัย อยุธยา และรัตโนสินทร์ ส่วนราวบันไดเป็นนาค 5 เศียร ซึ่งมีต้นแบบมาจากราวบันไดวัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ในชั้นนี้ยังเป็นที่ตั้งของบุษบกขนาดเล็กที่เรียกว่า ซ่าง ที่ประจำอยู่ทั้ง 4 มุมของพระเมรุมาศ สำหรับเป็นที่นั่งของสงฆ์ขณะสวดพระอภิธรรมประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ (ซ่าง 1 องค์สำหรับพระพิธีธรรม 4 สำรับหรือ 16 รูป) มีเทพพนม 28 องค์และครุฑยุดนาค 28 องค์ประดับฐานรับบุษบก บันไดทางขึ้นซ่างเป็นนาคเศียรเดียวที่ถูกมกร (สัตว์ในหิมพานต์ซึ่งเป็นส่วนผสมของสัตว์ 5 ชนิด ได้แก่ ช้าง จระเข้ กวาง สิงห์ งูหรือมังกร ) กลืนกิน มีนัยว่าชีวิตนั้นถูกเวลากลืนกินทุกขณะ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสี่มหาเทพที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จสู่สวรรคาลัย แต่ละองค์สูงประมาณ 257 เซนติเมตร ประกอบด้วย
- พระอินทร์ เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวัชระหรือสายฟ้าเป็นศาสตราวุธคู่กาย คอยดูแลทุกข์สุขของมนุษย์
- พระพรหม เป็นพระผู้สร้าง มีพระพักตร์ 4 พักตร์หันไปในทิศทั้งสี่ ซึ่งทำให้พระองค์สามารถมองเห็นและดูแลได้ทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์
- พระอิศวร เทพแห่งการทำลาย พระองค์จะขจัดสิ่งเลวร้ายและประทานพรให้กับผู้ประพฤติดีมีศีลธรรม
- พระนารายณ์ เทพผู้ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้าย และช่วยให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง
ชั้นชาลาที่ 4 เป็นที่ตั้งของบุษบกองค์ประธาน ซึ่งประกอบด้วยพระจิตกาธาน (เชิงตะกอนหรือฐานที่ทำขึ้นสำหรับเผาศพ) ประดิษฐานพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ราวบันไดเป็นนาค 7 เศียร โดยมีต้นแบบมาจากปราสาทพระเทพบิดรในวัดพระศรีรัตนาศาสดาราม ด้านข้างมีประติมากรรมคุณทองแดงในอิริยาบถนั่งสี่ขา ด้านหน้าบริเวณบันไดขึ้นลงประดับด้วยฉากบังเพลิงสีชมพูอมทองอมขาว เพื่อมิให้เห็นการถวายพระเพลิงพระบรมศพและกำบังลม ภาพจิตรกรรมบนฉากบังเพลิงทั้งสี่ทิศ รับผิดชอบโดยนายมณเฑียร ชูเสือหึง รักษาการจิตรกรรมชำนาญการ กลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ตามเรื่องราวนารายณ์อวตารฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ส่วนด้านล่างของฉากบังเพลิงแต่ละฉากเป็นภาพโครงการในพระราชดำริ
- ทิศเหนือ เป็นจิตรกรรมภาพนารายณ์อวตาร ปางที่ 1 มัสยาอวตาร เป็นปลากรายทอง ปางที่ 2 กูรมาวตาร เป็นเต่า ส่วนด้านล่างเป็นภาพโครงการพระราชดำริหมวดน้ำ 4 โครงการ
- ทิศตะวันออก เป็นจิตรกรรมภาพนารายณ์อวตาร ปางที่ 3 วราหาวตาร เป็นหมูป่า ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร เป็นนรสิงห์ครึ่งคน ส่วนด้านล่างเป็นภาพโครงการพระราชดำริหมวดดิน 4 โครงการ
- ทิศใต้ เป็นจิตรกรรมภาพนารายณ์อวตาร ปางที่ 6 ปรศุรามาวตาร เป็นพราหมณ์ปรศุราม มีขวานเป็นอาวุธ ปางที่ 7 รามาวตาร เป็นพระรามในรามเกียรติ์ ส่วนด้านล่างเป็นภาพโครงการพระราชดำริหมวดไฟ (โครงการที่เกี่ยวกับพลังงาน) 4 โครงการ
- ทิศตะวันตก เป็นจิตรกรรมภาพนารายณ์อวตาร ปางที่ 8 กฤษณาวตาร เป็นพระกฤษณะ ปางที่ 10 กัลกยาวตาร เป็นบุรุษขี่ม้าขาว ส่วนด้านล่างเป็นภาพโครงการพระราชดำริหมวดลม (โครงการที่เกี่ยวกับลม ฝน) 4 โครงการ
ส่วนด้านหลังฉากบังเพลิงทั้งสี่ทิศเขียนดอกไม้ทิพย์และดอกไม้มงคล เช่น ดอกบัวทอง บัวเงิน มณฑา ดอกกล้วยไม้แคทลียา ควีนสิริกิติ์ ดอกหน้าวัวสีชมพู เรียงร้อยผูกเป็นลวดลายอย่างสวยงาม
อาคารประกอบพระเมรุมาศ เเป็นอาคารน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่โดยรอบพระเมรุมาศ ซึ่งทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน ดังนี้
- พระที่นั่งทรงธรรม เป็นเรือนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระเมรุมาศ ภายในตกแต่งด้วยจิตรกรรมเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช จำนวน 46 โครงการ โดยสร้างสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ประทับในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และสำหรับคณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนคณะทูตานุทูตเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
- ศาลาลูกขุุน เป็นเรือนขนาดเล็กรองลงมา ลักษณะเป็นโถงทรงไทยชั้นเดียว แบ่งเป็น 3 แบบด้วยกัน สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เฝ้าฯ รับเสด็จและร่วมพระราชพิธีฯ โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 11 หลังด้วยกัน
- ทับเกษตร เป็นอาคารโถงขนาดเล็กหลังคาจั่ว ประดับตกแต่งลวดลายไทย จำนวน 8 หลัง สร้างอยู่ริมรั้วราชวัตรในมุมทั้งสี่ของมณฑลพิธี โดยเป็นจุดกำหนดขอบเขตของมณฑลพิธีเชื่อมกับรั้วราชวัตร สำหรับข้าราชการที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จและร่วมพระราชพิธีฯ
- ทิม เป็นเรือนพักของสงฆ์ แพทย์หลวง เจ้าพนักงาน และเป็นที่พักเครื่องประโคมปี่พาทย์ประกอบในพระราชพิธีฯ มีจำนวน 4-6 หลัง ตั้งอยู่บริเวณทิศทั้งสี่
- ราชวัติ แนวรั้วกั้นกำหนดขอบเขตพระเมรุมาศทั้ง 4 ด้าน ประดับด้วยฉัตรและธง
- พลับพลายก เป็นโถงที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของมณฑลพิธี สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงรอรับส่งพระบรมศพขึ้นราชรถ
เพื่อเป็นการแสดงถึงพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ที่สร้างคุณูปการต่อประเทศ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 คณะผู้จัดสร้างพระเมรุมาศจึงตั้งใจเนรมิตพื้นที่หน้าพระเมรุมาศ ให้เป็นแปลงนาข้าวเลข 9 รวมถึงพืชชนิดอื่น ๆ เช่น หญ้าแฝก มะม่วงมหาชนก โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้พื้นที่วังสวนจิตรลดาเป็นพื้นที่ทดลองโครงการส่วนพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและการวิจัยพัฒนาแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาด้านการเกษตรให้แก่พสกนิกรของพระองค์อย่างได้ผล
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชครั้งนี้ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับที่พระองค์ทรงงานหนักเพื่อปวงชนชาวไทยมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน และจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเราทุกคนไปตราบสิ้นลมหายใจ ขอพสกนิกรของพระองค์ร่วมกันส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
ภาพปก : คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, http://www.kingrama9.th/
ภาพ 3D : True4UNews