ทั้งเรื่องค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก และค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน เพราะในแต่ละประเทศและแต่ละเมืองนั้น ก็มีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน หากเราต้องการไปอยู่ในเมืองใหญ่ มีแสงสี สิ่งอำนวยความสะดวก และพิพิธภัณฑ์มากมายให้เรียนรู้ ค่าครองชีพก็ย่อมแพงกว่าเมืองที่อยู่ในชนบทซึ่งมีความสงบกว่า ที่สำคัญคือ เงินสำรองค่าใช้จ่ายที่จำเป็นตลอดการใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ ทางที่ดีก็ควร วางแผนซื้อประกันอุบัติเหตุหรือประกันสุขภาพเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินด้วย

2.กำหนดเป้าหมายและวางแผนออมเงิน

โดยคำนวณให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตและค่าใช้จ่ายที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อ เช่น เป้าหมายคือ ออมเงินเพื่อไปเรียนภาษาที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลา 6 เดือน ด้วยเงินจำนวน 5 แสนบาท ในเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า ก็ต้องทำงานและเก็บเงินให้ได้ปีละ 100,000 บาท หรือประมาณ 8,333 บาทต่อเดือน หากมีโบนัสจาก การทำงานหรือเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้น ก็นำมาออมเพิ่มเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น

หรืออีกวิธีคือ ลองศึกษาทางเลือกการลงทุนอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ กองทุนรวม หรือหุ้น เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินออมของเรา ก็จะช่วยลดภาระการออมเงินต่อเดือนได้ ทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างสบายๆ

ตัวอย่าง : เป้าหมายคือ ออมเงิน 5 แสนบาท ในอีก 5 ปี ข้างหน้า เพื่อเป็นทุนไปเรียนภาษาที่ประเทศออสเตรเลีย

หมายเหตุ : คำนวณอัตราผลตอบแทนทบต้นทุกเดือนและยังไม่ได้คำนวณอัตราเงินเฟ้อ

3.หารายได้เสริมระหว่างเรียนด้วยโครงการ Work and Travel

นอกจากจะได้ฝึกการใช้ภาษากับคนท้องถิ่นแล้ว ยังได้ประสบการณ์ทำงาน และมีรายได้เสริมเพื่อใช้เป็นค่าครองชีพในขณะอยู่ในต่างประเทศ ถ้าเรารู้จักวางแผนการใช้จ่ายดีๆ ก็อาจจะกลับมารวยกว่าเดิมและเก่งภาษาด้วยก็ได้ แถมในช่วงวันหยุดก็ยังได้โอกาสไปเปิดโลกทัศน์ หาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อีกด้วย คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม

เมื่อเรามีความฝันที่จะไปเรียนภาษาในต่างประเทศ ต้องอย่าลืมตั้งเป้าหมายชีวิตตั้งแต่วันนี้ เริ่มศึกษารายละเอียดข้อมูลต่างๆ และเก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมาย ในระยะเวลาที่วางแผนไว้ เมื่อเราได้ไปเรียนกลับมาแล้วจะทราบดีว่าการไปเรียนต่างประเทศจากการเก็บเงิน ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ได้ใช้เวลากับการเรียนและการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต ในต่างแดนอย่างเต็มที่นั้น สร้างความคุ้มค่าและโอกาสให้เรามากขนาดไหน