25 เมษายน พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974)
เกิดการ "ปฏิวัติคาร์เนชั่น" เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ณ เมืองลิสบอล ประเทศโปรตุเกส

ในวันนี้ได้มีทหารนักปฏิวัติฝ่ายสังคมนิยมนำโดย “นายพลสปิโนลา” ผู้จัดตั้งเครือข่ายลับ MFA (Armed Forces Movement) ที่มี “โอเทโล ซาราอิวา เดอ คาร์วาลโฮ” (Otelo Saraiva de Carvalho) เป็นผู้นำ ได้รวบรวมทหารและประชาชนทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดี “มาร์เซโล แคทาโน” (Marcelo Caetano) และยึดอำนาจกลับมาได้สำเร็จ นับเป็นการรัฐประหารแบบสันติที่มีผู้เสียชีวิตเพียง 4 คน ส่งผลให้โปรตุเกสเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสังคมนิยมฟาสซิสต์เป็นระบอบประชาธิปไตย 
 

หลังจากทำการสำเร็จประชาชนหลายพันคนได้ออกมาให้กำลังใจและให้การสนับสนุนการโค่นล้มอำนาจเผด็จการครั้งนี้อย่างท่วมท้น โดยนำดอกคาร์เนชั่นสีแดงมาแจกให้ทหารติดปลายกระบอกปืน ทำให้การปฏิวัติครั้งนี้ได้ชื่อว่า “การปฏิวัติคาร์เนชั่น” (Carnation Revolution)  เป็นการปฏิวัติที่เปิดประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ให้กับโปรตุเกส

ลิสบอลกับระบอบสังคมนิยมฟาสซิสต์

การปกครองระบอบนี้ได้ให้สิทธิพิเศษกับบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ ซึ่งผลประโยชน์กลับตกอยู่ในมือชนชั้นนำเพียงไม่กี่คน และงบประมาณประเทศจำนวนมากได้ถูกใช้ไปในการควบคุมประเทศอาณานิคม ส่งผลให้ประชาชนยากจนและเดือดร้อนกันถ้วนหน้า โดยลิสบอนอยู่ภายใต้การปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมฟาสซิสต์มายาวนานนับแต่สมัยรัฐบาลเผด็จการของ “โอลิเวียรา ซาลาซาร์” (Antonio de Oliveira Salazar) เมื่อปี 1926 จวบจนถึงสมัยของของประธานาธิบดี มาร์เซโล แคทาโน (Marcelo Caetano) ผู้สืบทอดอำนาจต่อในปี1968 

หลังจากมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โปรตุเกสเริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคมโลกอีกครั้ง ชาวโปรตุเกสที่เคยอพยพหนีเผด็จการไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ อันเป็นอาณานิคมของตัว ก็เริ่มย้ายกลับมาสร้างบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง เพราะยุคหลังจากนี้ โปรตุเกสก็เข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนา กลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในยุโรป และเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งหลังจากยุคเผด็จการจนถึงปัจจุบัน จีดีพีของประเทศนี้เติบโตมากกว่า 40 เท่า และประชากรอยู่ดีกินดี มีอิสรภาพขึ้นตามลำดับ