6,651 Views
Favorite
ทรูปลูกปัญญาได้มีโอกาสพูดคุยกับหนึ่งในคนไทยที่เป็นหัวหน้าทีมการตลาดของสตาร์ทอัพจากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 ปีในการสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทจากศูนย์ จนติดอันดับการค้นหาหนึ่งในสาม ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าคนไทยคนนี้เรียนจบช้า แถมงานที่ทำไม่ตรงสาย วันนี้จะมาพูดคุยกันว่ามีที่มาของความสำเร็จอย่างไรบ้าง เผื่อจะได้เป็นแรงบันดาลใจของคนที่กำลังท้อกับชีวิต
สวัสดีครับ ผมชื่อวีรภัทร คันธะ ชื่อเล่น เดียร์ แต่เพื่อนต่างชาติจะชอบเรียกว่าแดเนียล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมกลยุทธ์การตลาดและบรรณาธิการบริหารเว็บไซต์ Saleduck ประเทศไทย บริษัท Saleduck Asia ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากประเทศเนเธอร์แลนด์ครับ
แรกเริ่มเดิมทีผมทำงานเป็นนักข่าวครับ ก่อนย้ายมาทำงานในบริษัทไอทีแห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จากนั้นก็ถูกติดต่อให้มาบุกเบิกเว็บไซต์ Saleduck ภาคภาษาไทยครับ ตัวผมเป็นคนไทยคนแรกในบรรดาทีมงานต่างชาติทั้งหมดของ Saleduck Asia ครับ หน้าที่หลัก ๆ ของผมคือการสร้างให้คนรู้จักและนิยมมาใช้งานเว็บนี้ แน่นอนครับว่าชาวต่างชาตินั้นไม่เข้าใจวัฒนธรรม ธรรมเนียมและภาษาไทยของเรา ผมจึงได้อิสระเต็มที่ในการบริหารจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ต่างจากทีมอื่นที่ยังถูกควบคุมโดยบริษัทแม่ซึ่งตั้งอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ครับ และเมื่อยอดขายเติบโตแซงประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน บริษัทจึงอนุมัติจ้างทีมงานเพิ่ม เพื่อมาช่วยผมซัพพอร์ตตลาดไทยที่กำลังไปได้ดีครับ
ผมจบนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์มาครับ บอกตรง ๆ ว่า ตอนเรียนจบไม่ได้สนใจที่จะทำงานด้านกฎหมายต่อเลย อยากทำงานด้านการตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองสนใจมากกว่า ถามว่าเสียเปรียบคนที่จบคณะอื่นมามั้ย ผมคิดว่าไม่นะครับ เพราะแม้ว่าตัวผมจะไม่ได้จบบริหารธุรกิจ หรือเศรษฐศาสตร์มา แต่มรดกจากคณะนิติศาสตร์นี้เป็นแหล่งบ่มเพาะทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การมองโลกครบทุกด้าน ฝึกให้เราเป็นคนช่างสังเกตแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมไปถึงทักษะการเขียนด้วย ประสบการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เรามองเห็นอะไรหลายอย่างที่สำคัญสำหรับการทำการตลาด ประกอบกับเป็นคนที่ชอบเรื่องเกี่ยวกับการตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานครับ
สำหรับใครที่จบมาแล้วรู้ตัวเองว่ามีความสนใจด้านอื่น ก็ควรให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองถนัดจะเป็นประโยชน์กว่า พร้อม ๆ กับนำเอาทักษะที่ได้รับมาจากคณะที่ตนเองเรียนจบมาพัฒนาตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองสนใจ ผมว่าตรงจุดนี้อาจทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน
คือต้องเกริ่นก่อนว่าเว็บ Saleduck เป็นเว็บคูปองส่วนลดออนไลน์ รายได้ที่เราจะได้รับนั้นจะมาจากค่าโฆษณา และส่วนแบ่งคอมมิชชั่นจากร้านค้าออนไลน์ชื่อดังครับ ถ้าพูดถึงผลงานโดยรวมขณะนี้เว็บของเราขึ้นไปอยู่ในลำดับท็อป 3 เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ประเภทเดียวกันในตลาด ทั้งที่เราเริ่มทำเว็บเป็นระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ส่วนในอาเซียน เว็บ Saleduck ของไทย สร้างยอดขายได้มากกว่าตลาดใหญ่ ๆ อย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียมากกว่า 3 เท่าตัวครับ ล่าสุดนับเฉพาะสถิติของประเทศไทย เราสร้างปรากฎการณ์ยอดขาย และยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้มากกว่าบริษัทแม่ที่เนเธอร์แลนด์ได้เป็นที่เรียบร้อย
ขณะเดียวกันสื่อหลาย ๆ สำนักและหลาย ๆ เว็บไซต์ อย่างเช่น เดลินิวส์ ก็มาขอความเห็นเกี่ยวกับแวดวงอีคอมเมิร์ซในอาเซียน และกลยุทธการตลาดของบริษัท เพื่อนำไปเขียนเป็นข่าวจำนวนมาก ซึ่งนับมาจนถึงจุดนี้ผมคิดว่าตัวเองมาได้ไกลพอสมควรครับ
จริง ๆ ต้องบอกว่าเสียดายมากครับ เพราะมีคนรู้จักซึ่งทำงานบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ที่เยอรมันมาชักชวนไปร่วมงาน ก็จัดการเรซูเม่ กับประวัติไปเรียบร้อย น่าเสียดายที่ HR ของบริษัทนั้นปฏิเสธเพราะว่าวุฒิปริญญาของเราไม่ตรงกับวุฒิที่สมัคร คือผมจบนิติศาสตร์ แต่มาทำด้านการตลาด ซึ่งไม่ตรงตามคุณสมบัติที่รัฐบาลเยอรมนีจะออกวีซ่าทำงานให้ จบด้านไหนมาก็ต้องทำงานด้านนั้น นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนเดียวที่ปรากฎจากการทำงานไม่ตรงสายครับ
อย่างไรก็ตามปัจจุบันก็ยังมีบริษัทอื่น ๆ หลายประเทศในอาเซียนทาบทามให้ไปร่วมงาน แต่ ณ เวลานี้ความท้าทายใหม่ของผมคือการขยับขึ้นไปทำงานระดับบริหาร เพราะยังขาดประสบการณ์ในส่วนนี้อยู่ ดังนั้นถ้ามีโอกาส ผมอยากเลือกที่จะกลับไปทำงานในประเทศไทยก่อนครับ
ถ้าไม่นับการเล่นเฟซบุ๊ค ผมจะพยายามอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง หรือหนังสือที่เกี่ยวกับการตลาดเพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเองตลอดครับ แต่ช่วงหลังมามีงานอดิเรกใหม่คือการเป็นบล็อกเกอร์ทำเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่มีชื่อว่า journey-list.com โดยเน้นเรื่องราวประสบการณ์แปลก ๆ และน่าสนใจระหว่างการท่องเที่ยวของผม คือจริง ๆ ตัวผมเองเป็นคนชอบเที่ยวเอามาก ๆ และชอบหากิจกรรมแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนใครทำ อย่างเช่นการเลือกเดินทางไปบรูไนเพื่อไปจับมือกษัตริย์บรูไนแบบหน้าตาเฉย หรือวันดีคืนดีก็กระโดดขึ้นรถไฟไปทรานไซบีเรียอะไรอย่างนี้ และจะชอบเป็นอย่างมากถ้ามีคนมาขอคำแนะนำเพื่อตามรอยเรา จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
ผมพยายามหาเวทีใหม่ ๆ เพื่อทดลองความรู้และศักยภาพตัวเองเสมอครับ อย่างตอนนี้ก็ทำงานหลักควบคู่ไปกับธุรกิจเสริม นั่นก็คือร้านแว่นตาออนไลน์โดยมองว่าเป็นเวทีที่ตัวเองจะได้ทดลองเอาประสบการณ์ เทคนิคการทำการตลาดที่ได้เรียนรู้จากต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ว่ามันจะสร้างยอดขายได้เหมือนกันรึเปล่า เพราะบางครั้งเราประสบความสำเร็จที่หนึ่ง แต่ไม่อาจการันตีได้ว่าจะประสบความสำเร็จอีกที่อย่างแน่นอน ซึ่งค่อนข้างท้าทายดีครับว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่อยากทำถ้าได้กลับไทย ก็คือการไปเป็นวิทยากรให้กับเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าชีวิตควรเลือกไปทางไหน และเด็กที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา ว่าทำอย่างไรพวกเขาจะสามารถยืนหยัดและตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง รวมทั้งเหมาะสมกับชีวิตเค้ามากที่สุดได้ พร้อมเน้นย้ำเรื่องความพยายาม และการไม่ยอมแพ้ เพราะแม้แต่ตัวผมเองที่ผ่านอุปสรรคทางการศึกษามาหลายครั้ง อย่างเช่นการย้ายคณะเรียน หรือการเรียนจบช้า ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ซึ่งถ้ามีโอกาสก็อยากบรรยายสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้กับทุกคนฟังครับ
ผมฝากบอกสั้นๆเลยครับว่า จงคิดว่าตัวเองเก่ง และทำได้ แม้ว่าเราจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม และอีกอย่างคือไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหน “อย่ายอมแพ้” รางวัลแห่งความพยายามก็คือชัยชนะของตัวเราเองครับ
