นับตั้งแต่การเดินทางหนีแรงโน้ม่ถ่วงของโลก ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป พบกับความอันตราย เช่น อุกาบาตที่พุ่งเข้าใส่ สภาวะไร้น้ำหนัก การขาดอากาศหายใจ ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีทั้งหมดที่มนุษยชาติมี เพื่อจะอาศัยอยู่ในอวกาศหรือลงหลักปักฐานบนดาวเคราะห์ดวงอื่น มีสิ่งที่น่าสนใจรอการค้นหาอยู่มากมาย มากพอ ๆ กับอันตรายที่อาจพบเจอเช่นกัน แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดสิ่งหนึ่ง กลับเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น รังสี
รังสี คืออะไร ? Radiation ไม่ใช่สิ่งใหม่ เรารู้จักมันมานาน มันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นคลื่นแม่เหล็ก เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งที่ปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิดเช่น ความร้อนหรือแสงสว่างที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์ คลื่นไม่โครเวฟที่ออกมาจากแหล่งกำเนิดอย่างเตาไมโครเวฟ หรืออาจจะเป็นรังสีแกมมา อัลฟ่า ต่าง ๆ เหล่านี้ก็ล้วนเป็นรังสี คลื่นแม่เหล็กนี้มีความแตกต่างกันออกไปตามพลังงานที่มันมีในตัว
ความถี่และความยาวคลื่นที่แตกต่างกันทำให้มีพลังงานต่างกัน และแน่นอนว่ามีชื่อเรียกต่างกัน ดวงตาของเราเองก็สามารถตรวจจับหรือมองเห็นได้แค่บางช่วงคลื่นเท่านั้น เรียกได้ว่ารอบ ๆ ตัวเราเองมันมีรังสีอยู่มากมาย เพียงแค่เรามองไม่เห็น รังสีที่สามารถจะทำอันตรายเราได้หรือรังสีที่มีพลังงานและไม่เสถียร กล่าวคือ รังสีที่สามารถก่อประจุได้ Ionizing Radiation รังสีจำพวกนี้เกิดจากอะตอมหรือธาตุที่ไม่เสถียรเรียกว่า ธาตุกัมมันตรังสี ที่เราใช้ประโยชน์จากมันในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์นั่นเอง
รังสีที่อยู่ในอวกาศน่าอันตรายต่อตัวเรา เพราะว่าพวกเราไม่รู้จัก ไม่ได้ปรับตัวให้สามารถทนทานรังสีเหล่านั้นได้ เพราะว่า เรามีชั้นบรรยากาศและสนามแม่เหล็กโลกซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันคอยปกป้องสิ่งมีชีวิตในโลกให้รอดพ้นจากรังสีเหล่านั้น ตัวอย่างของรังสีที่เป็นภัยในอวกาศ เช่น Cosmic Ray รังสีคอสมิก ซึ่งเป็นรังสีที่มีพลังงานสูงมาก ถูกปล่อยออกมาจากดาวฤกษ์ต่าง ๆ มันสามารถเดินทางมาได้ไกลพร้อมกับพลังงานมหาศาล มีความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสง และสามารถทำให้อนุภาคอื่น ๆ ถูกกระตุ้นและไม่เสถียรได้
หากจะพูดบ้าน ๆ ก็คือหากเราได้รับรังสีคอสมิกมาก ๆ ยีนส์หรือดีเอ็นเอของเราก็อาจจะเปลี่ยนไป เกิดการผ่าเหล่า ผิดปกติ รวมถึงอาจจะเป็นการกระตุ้นให้เป็นมะเร็งได้ แม้ว่ารังสีคอสมิกจะอยู่ในอวกาศและเรามีชั้นบรรยากาศปกป้อง แต่บางส่วนก็สามารถหลุดลอดเข้ามาใต้ชั้นบรรยากาศได้ นักบินและพนักงานต้อนรับที่ทำงานบนเครื่องบินเองก็ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานใกล้ชิดกับรังสีที่เป็นอันตราย Radiation Workers และมีความเสี่ยง อย่างไรก็ดีปริมาณรังสีที่ได้รับก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับที่อาจจะได้รับหากออกไปลอยตัวอยู่ในอวกาศ
ร่างกายของเราเองก็มีกระบวนการรับมือกับรังสีที่ได้รับในปริมาณเล็กน้อยเหล่านี้เป็นปกติอยู่แล้ว ด้วยกระบวนการทดแทนเซลล์ที่เสียหรือผิดปกติด้วยเซลล์ใหม่ อันทีจริงเราไม่ต้องคิดไปถึงรังสีที่อาจจะได้จากการออกไปอยู่ในอวกาศ เพราะรอบตัวเรา บนโลกนี้ก็เต็มไปด้วยรังสีและแหล่งกำเนิดรังสีทางธรรมชาติที่มีในอากาศ ในดิน หรือแม้แต่ในร่างกายของเราเองก็มี Carbon-14 และ Potassium-40 ซึ่งเป็นธาตุกัมมันตรังสีที่พบได้ในร่างกายของเรา และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเราก็มีการศึกษาวิจัยnและออกมาตรการป้องกันว่าด้วยเรื่องการสัมผัสกับกัมมันตรังสี แม้ว่าแต่ละปีเรามักจะได้รับกัมมันตรังสีประมาณ 2.5 มิลลิซีเวิร์ต millisieverts (mSv) คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศด้านการป้องกัน รังสี หรือ ICRP ย่อมาจาก International Commission on Radiological Protection แนะนำว่าไม่ควรได้รับรังสีเพิ่มจากที่ได้รับโดยเฉลี่ยในแต่ละปีเกิน 1 mSv ซึงแปลว่ารวม ๆ แล้วต้องไม่เกิน 3.5 mSv แต่กว่าจะได้มาซัก 1 mSv มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ คาดว่าคุณต้องบินไปกลับนิวยอร์ค-ลอนดอนอีกอย่างน้อย 200 ชั่วโมงเพื่อให้ได้รังสีมากขนาดนั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนปกติ แต่สำหรับนักบินหรือผู้ที่ทำงานอยู่บนเครื่องบินสามารถได้รับมากถึง 6-20 mSv โดยไม่เป็นอันตราย เพราะกว่าคุณจะเริ่มมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งจากการได้รับรังสีที่มากเกินไปคุณต้องได้รับมันมากถึง 50-100 mSv ต่อปี
ในอวกาศมีแหล่งรังสีที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายอยู่อีกหลายแหล่งนอกเหนือจากรังสีคอสมิก เราก็มีลมสุริยะ Solar wind ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีประจุถูกปล่อยออกมาจากดาวฤกษ์รอบทิศทาง หากมีการปล่อยโปรตอนออกมามาก มวลของลมสุริยะก็จะมา และมีพลังงานมาก ซึ่งอนุภาคโปรตอนมีมวลมากกว่าอิเล็คตรอน ลมสุริยะที่มีโปรตอนเป็นส่วนประกอบมากกว่าก็จะทำให้เกิดลมสุริยะที่มีพลังงานมากกว่า เร็วกว่า รุนแรงมากกว่า ลมสุริยะที่เกิดจากอิเล็คตรอน ลมสุริยะมีความเร็วตั้งแต่ 400 - 800 กิโลเมตรต่อวินาทีบนผิวของดวงอาทิตย์