Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

“อันตรายสังคมก้มหน้า มีผลต่อสุขภาพตาโดยตรง”

Posted By Plook Panya | 06 ต.ค. 57
7,402 Views

  Favorite

        เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตากว่า 80% มีสาเหตุมาจากรังสี UV 400 / UVA1 และแสงสีฟ้าจากหน้าจอสมาร์ทโฟนและแทปเล็ต ส่งผลให้เกิดความผิดปกติสายตาเพิ่มมากขึ้นสาเหตุหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักคือพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งสมาร์ทโฟนและแทปเล็ต ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมิใช่แต่เพียงในวัยทำงาน แม้ในเด็กและในผู้สูงอายุก็ยังนิยมสังคมก้มหน้า

        เทคโนโลยีการสื่อสารเชื่อมโยงของคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่เข้าด้วยกันผ่านแอพลิเคชั่นต่างๆ เช่น ไลน์สังคมก้มหน้าปัจจุบันจึงขยายวงกว้างไปทุกช่วงอายุ

        แสงที่มีความถี่ที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้คือแสงที่อยู่ในระดับต่ำกว่าแสงสีแดงลงมาจนถึงช่วงแสงสีม่วง แสงที่อยู่หนือแสงสีม่วงขึ้นไปคืออัลตร้าไวโอเล็ต(UV) หรือเรียกอีกชื่อว่าแสงเหนือม่วงนั่นเอง

       แสงสีฟ้า หรือ UV นี้มิได้มีแต่โทษเท่านั้น UV มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรค แต่หากรับแสงเป็นเวลานานๆจะเกิดผลข้างเคียงคือ ริ้วรอย นอกจากนั้นหากรับรังสียูวีนานๆ ในปริมาณมากๆ ต้อเนื้อ และต้อกระจกอีกด้วย

        ร่างกายสามารถใส่เสื้อผ้าและทาครีมกันแดด ทารองพื้นเพื่อป้องกันผิวจาก UV แต่ดวงตาเป็นอวัยวะที่รับแสง แสงทำให้เรามองเห็นวัตถุต่างๆ ดวงตาจึงเป็นอวัยวะหนึ่งซึ่งรับแสงตลอดเวลาที่เราลืมตา

        เราอาจปกป้องดวงตาด้วยแว่นกันแดดที่ป้องกัน UV แต่มิได้หมายความว่าแว่นที่ดำจะป้องกัน UV ได้ดี กลับตรงกันข้ามคือ แว่นที่ดำทำให้ม่านตาเราขยายเพื่อมองเห็นภาพชัดขึ้น ยิ่งม่านตาขยายก็จะยิ่งสัมผัสกับ UV มากยิ่งขึ้น แพทย์ย้ำแว่นดำที่ไม่กันUV อันตราย ดังนั้นหากจะเลือกแว่นกันแดดให้ดูประสิทธิภาพในการป้องกัน UV ด้วย

           แสง UV มีอยู่ทุกที่ทั้งในบ้าน ในรถ แสง จากทีวี คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ แสงไฟในที่ทำงานเองก็มี UV เห็นได้ว่า UV นั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

           เมื่อพูดถึงที่ทำงานคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในที่ทำงาน ก็มีความเสี่ยงอีกอย่างเรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม ทั้งจากที่คนมาอยู่รวมกันมากๆ มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคระบบทางเดินหายใจ หากการหมุนเวียนอากาศภายในห้องไม่เพียงพอ หรือมีความเสี่ยงในการได้รับผุ่นละอองเคมีที่มาจากปรินเตอร์และเครื่องถ่ายเอกสารในที่ทำงาน ก็มีความเสี่ยงในเกิดโรคถุงลมโป่งพองได้

 

           อีกโรคซึ่งมากับออฟฟิศซินโดรมคือ คอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome หรือ CVS) มาจากการที่จ้องมองคอมพิวเตอร์ แทปเล็ต หรือ สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ ทำให้ตาพร่ามัวชั่วคราว โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ก็จะเริ่มมีปัญหาสายตายาวร่วมด้วย อาการในกลุ่ม CVS นี้มักจะปวดศรีษะตอนบ่าย เนื่องจากใช้สายตามาก หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์มีความสว่างมากก็จะทำให้ปวดตาได้ ยิ่งหากใช้หน้า จอที่สว่างในสิ่งแวดล้อมที่มืดยิ่งจะเป็นอันตรายต่อดวงตา แสงที่เหมาะสมควรเป็นตกกระทบแสงที่เข้ามาจากด้านข้าง มีความสว่างในปริมาณที่ไม่แตกต่างจากจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป

            การจัดท่านั่งที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรนั่งหลังตรง มองตรงในลักษณะเงยหน้าขึ้น 15 องศา ข้อมือไม่งอ เท้าควรวางราบกับพื้น เพื่อลดการปวดเข่าและข้อเท้าด้วย

          สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ อันตรายจากแสงสีฟ้า ที่อยู่ในจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแทปเล็ต จะทำลายดวงตาหาจ้องมองนานๆ และนอกจากนั้นการจ้องมองนานๆทำให้กระพริบตาน้อยลง ซึ่งโดยปกติจะกระพริบตานาทีละประมาณ 20 ครั้ง เพื่อให้ตาได้รับความชุ่มชื้น การจ้องเพ่งมองนานๆ จะทำให้ตาแห้งและกระพริบตาน้อยลง แสบตา การมองเห็นเริ่มผิดปกติเห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด  ปวดเบ้าตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า เป็นอาการเริ่มต้นของโรคคอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดรม และกระตุ้นให้จอประสาทตาเสื่อมได้เร็วขึ้น ซึ่งก็มาจากพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ

               การเสื่อมของจอประสาทตาจะเกิดได้ใน ผู้สูงอายุ พบได้ใน 4F คือ 1)Fat คนอ้วน 2)Forty อายุ 40 ปีขึ้นไป   3) Female เกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 4) Fertile คนที่มีลูกเยอะ

               แพทย์แนะนำวิธีป้องกันอันตรายจากการใช้คอมพิวเตอร์ แทปเล็ต และสมาร์ทโฟนคือ ใส่แว่นตาป้องกันแสง UV หรือ ลดความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพราะความสว่างหน้าจอที่มาก ปริมาณ UV ก็มากขึ้นด้วย อีกทางเลือกหนึ่งคือติดฟิลม์ที่หน้าจออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ช่วยลดแสง UV400/ UVA1 เป็นการป้องกันไม่ให้ดวงตาสัมผัสแสงเหล่านี้โดยตรง และควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง โดยเปลี่ยนอิริยาบถ หรือมองไปไกลๆ เพื่อลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตา

                อาหาร หรือวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงสายตา เป็นกลุ่มที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักบุ้งมีวิตามิน A ช่วยเรื่องการมองเห็น กลุ่มวิตามิน B12 วิตามิน C ในปริมาณ 500-1000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากรับประทานติดๆกันต้องระวังการเกิดนิ่วในไตด้วย กลุ่มวิตามิน D และ กลุ่มวิตามิน E ที่เป็นวิตามินธรรมชาติ หากเป็นวิตามิน E ในรูปของวิตามินสังเคราะห์ในบางงานวิจัยพบว่ามีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง กลุ่มแบตาแคโรทีนผักที่มีสีเหลือง สีส้ม ก็ช่วยเรื่องการบำรุงสายตาได้ดี

                นอกจากการใช้คอมพิวเตอร์ในผู้ใหญ่แล้วสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือ การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในเด็ก ซึ่งในปัจจุบันมีการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีพบว่าผู้ที่ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในแต่ละวันเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมงติดกัน ทำให้เด็กมี สายตาสั้น และมีปัญหาสายตาในด้านอื่นๆเพิ่มมากขึ้น

     ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนนาดาได้มีการประกาศเตือนผู้ปกครอง ในเด็กเล็กแรกเกิด ถึง 2 ปี ให้งดใช้เพราะจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสมอง ทำให้การเรียนรู้ช้าลง และในเด็กที่อายุน้อยกว่า 12 ปี ควรหลีกเลี่ยง ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ เพราะจะทำให้เด็กสมาธิสั้น การเคลื่อนไหวน้อยเด็กจะนั่งนิ่งๆจนกลายเป็นโรคอ้วนและโรคอื่นๆตามมา และสิ่งสำคัญคือแสงสีฟ้าที่ส่งออกมาโดยตรงจากอุปกรณ์เหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพตาโดยตรง

         โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน เด็กๆ เข้าถึงคอมพิวเตอร์ และแทปเล็ตมากขึ้นและใช้อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานาน อันตรายของการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็กซึ่งผู้ปกครองพึงระวัง

     แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีมีประโยชน์ต่างๆทั้งคอมพิวเตอร์ แทปเล็ต และสมาร์ทโฟนก็สามารถอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะไม่ใช้สิ่งเหล่านี้ แต่จะใช้อย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ

         ควรกลับมาที่จุดเริ่มต้นของแหล่งกำเนิดแสงสีฟ้า ที่ออกมาจากหน้าจอ ควรเลือกอุปกรณ์ป้องกันหรือลดปริมาณแสงสีฟ้าที่ดวงตาจะได้รับโดยตรง เช่นเดียวกับที่เราใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อปกป้องแสงแดด  

         สายตาก็ยิ่งต้องระวัง การเลือกฟิลม์ควรเลือกที่มีการป้องกันแสงสีฟ้า ป้องกันรังสี UV400/UVA1 ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการทำลายสุขภาพตา

         เราติดฟิลม์มือถือเพื่อปกป้องจอมือถือจากรอยขีดข่วน ก็อยากให้ตระหนักถึงความสำคัญถึงผลกระทบต่อดวงตาระยะยาว เพราะเราคงปฏิเสธเทคโนโลยีไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะดูแลสุขภาพได้ จอประสาทตาเราสำคัญกว่าหน้าจอมือถือ จอประสาทตาเมื่อเสื่อมแล้วไม่สามารถกลับคืนมาเป็นปกติได้ ดังนั้นจึ่งต้องดูแลและใช้สายตาอย่างถูกวิธี  คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะถนอมดวงตาให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Panya
  • 7 Followers
  • Follow