เชื้อไวรัส RSV ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก พบมากและเจริญเติบโตได้ดีในช่วงที่มีอากาศชื้นโดยเฉพาะหน้าฝน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงกันยายน ไวรัส RSV ติดต่อกันได้ง่ายเพียงการสัมผัสใกล้ชิด หรือสัมผัสสารคัดหลั่งทางตาหรือจมูกและทางลมหายใจ ดังนั้นในเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นหวัดจึงเสี่ยงต่อการรับและแพร่กระจายเชื้อไวรัสนี้มาก เด็กเล็กสามารถรับเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียว โดยเชื้อไวรัส RSV มีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 6 วัน และทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย แบ่งเป็น 3 กลุ่มอาการคือ
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมรับมือให้ดี และสังเกตอาการของลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากอาการเบื้องต้นจะคล้ายกับหวัดธรรมดา แต่ก็มีส่วนที่พอจะสังเกตได้ คือ เด็กที่เป็นหวัดธรรมดาจะมีอาการไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินน้ำ กินนมได้ อาจกล่องเสียงอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ซึ่งจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV มีอาการหอบ เหนื่อย บางคนหอบมากจนเป็นโรคปอดบวม หายใจหอบจนอกบุ๋ม หายใจแรงจนหน้าอกโป่ง หายใจออกลำบาก หรือหายใจมีเสียงวี้ดแบบหลอดลมฝอยอักเสบ บางรายไอมากจนอาเจียน ซึมลง ตัวเขียว กินข้าว กินน้ำ กินนมไม่ได้
ดังนั้นเมื่อเด็กได้รับไวรัสนี้จึงต้องรักษาตามอาการ โดยสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือการขาดน้ำเพราะจะยิ่งทำให้เสมหะเหนียวข้นและเชื้อลงปอด อาจต้องใช้ยาพ่นร่วมกับ oxygen เพื่อช่วยขยายหลอดลม รับประทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4 – 6 ชั่วโมง พร้อมกับเช็ดตัวลดไข้ นอนพักผ่อนเยอะ ๆ ร่างกายก็จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ใช้เวลาประมาณ 7 – 14 วัน จึงจะหาย แต่หลังจากหายแล้ว หลอดลมและถุงลมฝอยของเด็กจะมีอาการอักเสบได้ง่ายเมื่อติดเชื้อครั้งใหม่ ซึ่งจะกระตุ้นอาการหอบจนทำให้เป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาดและสุขภาพของลูก โดยเน้นการป้องกันไว้ดีกว่าแก้
1.ฝึกให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ หลังจากทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือก่อนกินอาหารทุกครั้ง นอกจากป้องกันเชื้อโรคแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักรักความสะอาด
2.ช่วงหน้าฝนควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในสถานที่แออัด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลและระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ
3.ทำความสะอาดของเล่นลูกเสมอ
4.คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษทั้งเรื่องอาหารและการออกกำลังกายในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง
5.เมื่อลูกต้องอยู่ในอากาศที่หนาวเย็นอย่างในห้องแอร์ ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ ด้วยการใส่หมวก ใส่ถุงเท้า หรือห่มผ้า
6.หากมีเด็กอยู่รวมกันหลายคน ให้แยกเด็กและแยกเครื่องใช้ของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค